อาชญากรรม | 3ปี คดีไม่คืบ ครอบครัว”น้องเมย”ยังเชื่อถูกซ่อมดับ ตะลึงหมายเรียกขู่โทษหนักไม่เกณฑ์ทหาร

ตะลึงหมายเรียก “น้องเมย” ขู่โทษหนักไม่เกณฑ์ทหาร ครอบครัวยังเชื่อถูกซ่อมดับ โวยผ่านมา 3 ปี-แต่คดีไม่คืบ

นับเป็นบาดแผลที่กรีดลึกลงไปในจิตใจของครอบครัวผู้สูญเสีย

สำหรับการส่งจดหมายจี้ให้นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย ไปแสดงตัวต่อสัสดีอำเภอเมืองชลบุรี เนื่องจากไม่ไปรายงานตัวคัดเลือกทหารตามหมาย

ทั้งที่น้องเมยเสียชีวิตไปร่วม 3 ปี จากเหตุการณ์ธำรงวินัยโดยรุ่นพี่ในโรงเรียนเตรียมทหารเอง

ต้องจบชีวิตก่อนวัยอันควร ไม่มีโอกาสได้รับใช้ชาติในฐานะทหารหาญ

คดีในฐานะผู้สูญเสียยังไม่ทันคลี่คลาย กลับถูกขู่จะถูกดำเนินคดีในฐานะเป็นผู้ต้องหาเสียเอง

และเมื่อเรื่องแพร่กระจายออกไป โฆษกกองทัพบกก็ต้องตั้งโต๊ะแถลงขอโทษ พร้อมยอมรับว่าระบบทะเบียนทหารไม่ได้เชื่อมต่อกับทะเบียนราษฎร

จึงดำเนินการไปตามขั้นตอนปกติ หากเสียชีวิตก็ต้องนำเรื่องไปแจ้งสัสดี ถึงจะถอนชื่อออกไปได้

สร้างความสงสัยว่างบประมาณของกระทรวงกลาโหมจำนวนมหาศาล เหตุใดไม่นำไปปรับปรุงระบบทะเบียน หรือมีไว้เพียงเพื่อซื้ออาวุธ

แล้วจึงเกิดคำถามขึ้นอีกว่า แล้วคดีน้องเมย ขณะนี้ไปถึงไหนแล้ว และทำไมถึงไม่คืบหน้า

ตะลึงหมาย “น้องเมย” เกณฑ์ทหาร

เหตุการณ์สะเทือนสังคมครั้งนี้ปรากฏเป็นที่รับรู้ต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม เมื่อพี่สาวของน้องเมย-ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหาร ที่เสียชีวิตเพราะถูกสั่งธำรงวินัยโดยรุ่นพี่ เหตุเกิดเมื่อปี 2560 นำจดหมายลงนามโดย พ.ท.ประครอง วงศ์ใหญ่ สัสดีอำเภอเมืองชลบุรี

จดหมายดังกล่าวจ่าถึงนายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ ระบุว่า ด้วยในคราวตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ ประจำปี 2563 ของอำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ปรากฏว่าท่านเป็นบุคคลหนึ่งที่ไม่ไปแสดงตนเพื่อรับหมายเรียกร้องเข้ารับราชการทหาร โดยไม่ปฏิบัติตามมาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ.2497

จึงให้ท่านไปแสดงตนต่อเจ้าหน้าที่สัสดีอำเภอเมืองชลบุรี ณ ที่ทำการสัสดีอำเภอเมืองชลบุรี ภายในที่ว่าการอำเภอเมืองชลบุรีด่วนที่สุด ภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2563 เพื่อชี้แจงให้ทราบเหตุผลที่ท่านไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้

เมื่อพ้นระยะเวลาที่กำหนดดังกล่าว ท่านจะถูกดำเนินคดีอาญาตามความผิดฐานหลีกเลี่ยงขัดขืนไม่มาแสดงตนเพื่อรับหมายเรียกเข้ารับราชการทหาร ตามมาตรา 44 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 300 หรือทั้งจำทั้งปรับ

โดยนางสุกัลยา แม่ของน้องเมย ระบุเชิงประชดประชันว่า “ลูกผู้ชายอย่างเรา ห้ามหนีทหารนะ อยู่ไหน…รีบเหาะมานะครับ เดี๋ยวโดนคดีอาญานะครับ…”

ขณะที่นายพิเชษฐ์ ตัญกาญจน์ พ่อของน้องเมย กล่าวว่า น้องเมยเสียชีวิตไปแล้ว 3 ปี ครอบครัวยังเศร้าโศกใจอยู่ทุกวัน เมื่อได้รับจดหมายว่าหลีกเลี่ยงไม่ไปเกณฑ์ทหารอีก ซึ่งเป็นการตอกย้ำและทำร้ายจิตใจกันมาก ทั้งที่ลูกชายเสียชีวิตไปแล้วและอยู่ในความดูแลของทหาร แต่ไม่สนใจเรื่องการเสียชีวิตของลูกชาย มีการออกหมายเรียกให้ไปรายงานตัวอีก และยังเอากฎหมายมาขู่ลงโทษว่าหนีทหารและจะถูกจำคุกอีก

“ทำใจไม่ได้ รับไม่ได้ ทำไมกองทัพบกทำอย่างนี้ ที่สำคัญทุกวันนี้คดีของน้องเมยยังไม่มีความคืบหน้าเลย จึงอยากจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับน้องเมย เพื่อเอาคนผิดมาลงโทษเหมือนกัน”

หลังเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์คล้อยไป 1 วัน พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก แถลงว่า กองทัพบกขออภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่ไปกระทบความรู้สึก ซึ่งในข้อเท็จจริงระบบทะเบียนทหารยังไม่เชื่อมโยงกับทะเบียนราษฎร ทั้งนี้ ตามขั้นตอนปกติของการตรวจเลือกทหาร เมื่อชายไทยที่เป็นกองหนุนคนใดก็ตาม ไม่มาขอรับหมายเกณฑ์ ทางสัสดีก็จะถามหาเหตุผลโดยมีหนังสือส่งไป

หากมีเหตุหรือเสียชีวิตไปแล้ว ทางผู้ปกครองก็จะนำหลักฐานมาเพื่อแก้บัญชี ซึ่งยังไม่ได้มีการตรวจสอบจากสำนักทะเบียนราษฎร

เป็นความผิดพลาดจากระบบ!??

ครอบครัวรื้อคดี-หลัง 3 ปีไม่คืบ

ขณะที่นายพิเชษฐ์-นางสุกัลยา และ น.ส.สุพิชา ตัญกาญจน์ พ่อ-แม่และพี่สาวของน้องเมย แถลงข่าวถึงกรณีที่เกิดขึ้น โดย น.ส.สุพิชาระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวถือเป็นเรื่องตลกร้าย

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าสัสดีจังหวัดและสัสดีอำเภอไม่มีเจตนาที่จะทำให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น แต่ข้อผิดพลาดต่างๆ น่าจะเกิดจากความล้าหลังในการจัดเก็บข้อมูลของหน่วยงานทหาร

จึงอยากเสนอต่อทางกองทัพให้พิจารณาเรื่องของการจัดสรรงบประมาณว่าน่าจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบข้อมูลและเทคโนโลยีสารสนเทศมากกว่าการนำไปจัดซื้อยุทโธปกรณ์

ส่วนเรื่องคดีความของน้องเมย น.ส.สุพิชากล่าวว่า ที่ผ่านมาการยื่นฟ้องหรือการแจ้งความดำเนินคดีต่างๆ โดยเข้าแจ้งความกับผู้ที่เชื่อว่ามีส่วนต่อการเสียชีวิตของน้องชายที่ สภ.บ้านนา และ สภ.เมืองนครนายก ถึงวันนี้ยังคงเงียบหายโดยเฉพาะเรื่องของผลชันสูตรการเสียชีวิตที่ยังอยู่ในชั้นอัยการ ส่วนอีกหนึ่งคดีได้ถูกยกฟ้อง

แต่พร้อมนำหลักฐานใหม่เพื่อเอาผิดกับข้าราชการทหารบางนาย ที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายและมีส่วนต่อการเปลี่ยนแปลงข้อมูลจนทำให้ไม่สามารถสรุปสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงได้

นอกจากนั้น ยังจะเข้าข้อความเป็นธรรมต่อ กมธ.สภาผู้แทนราษฎรในทุกกรณีที่ทางครอบครัวเชื่อว่าการเสียชีวิตของ “น้องเมย” ไม่ใช่เกิดจากหัวใจล้มเหลว

“คดีนี้ไม่ต่างจากคดีของนายบอส อยู่วิทยา ที่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องความเร็วรถ คดีนี้พบว่าใช้เทคนิคบางประการที่ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่สามารถสรุปสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงได้”

นอกจากนี้ ยังมีข่าวลือเรื่องการรับเงินเยียวยา 10 ล้านบาท ซึ่งไม่เป็นความจริง ทุกวันนี้ทุกคนในครอบครัวยังต้องทำงานหาเงินเป็นค่าทนายและการต่อสู้คดีให้กับน้องชาย โดยตนมีรายได้จากการรับเป็นที่ปรึกษาคดี เมื่อว่างจากงานก็ต้องมาช่วยผู้เป็นแม่ทำขนมส่งขาย เช่นเดียวกับพ่อที่ยังต้องทำงานประจำเพื่อให้มีรายได้

ที่ผ่านมายังไม่เคยได้รับการติดต่อหรือได้รับความช่วยเหลือจากทางโรงเรียนเตรียมทหารหรือแม้แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เป็นอีกคดีที่รอความยุติธรรม

เปิดผลสอบทหารยันไม่มีซ่อมดับ

สําหรับกรณี “น้องเมย” นักเรียนชั้นปีที่ 1 โรงเรียนเตรียมทหาร เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560 โดยมีใบมรณบัตรสรุปสาเหตุการตายว่าเกิดจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เมื่อนำศพมาทำพิธีทางศาสนา นายพิเชษฐ พ่อน้องเมยตัดสินใจนาทีสุดท้ายไม่เผาศพลูก นำศพส่งชันสูตรเพื่อหาสาเหตุการตายที่แท้จริง

ซึ่งพบว่าอวัยวะภายในหายไปทั้งหมด มีร่องรอยซี่โครงแท่งที่ 4 หัก มีรอยช้ำภายในช่องท้องเท่ากำปั้น ด้านหลังซีกซ้ายมีรอยช้ำ ไหปลาร้าหักทั้ง 2 ข้าง แพทย์ระบุไม่น่าเกิดจากปั๊มหัวใจ เพราะหากปั๊มหัวใจต้องหักทั้งแถบ

ขณะที่แม่ก็ระบุว่าก่อนหน้าเสียชีวิต 2 เดือน น้องเมยถูกซ่อมวินัย ใช้หัวปักพื้นในห้องน้ำนายทหารจนช็อกเลือดตกหัว ต้องปั๊มหัวใจกลับขึ้นมา แต่ลูกไม่ติดใจเอาความ

ต่อมาวันที่ 15 ธันวาคม 2560 พล.อ.อ.ชวรัตน์ มารุ่งเรือง รองเสนาธิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทยในขณะนั้น แถลงผลสอบสวนระบุว่า นตท.ภัคพงศ์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม วันดังกล่าวพักรักษาตัวที่กองแพทย์ วงจรปิดพบเดินออกจากกองแพทย์ แล้วเป็นลมล้มลง มีอาการคล้ายไฮเปอร์เวนติเลชั่น คือเกร็ง ชา หายใจถี่เร็ว จนออกซิเจนในเลือดเพิ่มมากขึ้น สามารถหมดสติและสูญเสียความรู้สึกได้ มีลักษณะมือจีบ ซึ่งพบบ่อยในนักเรียนเตรียมทหาร

นักเรียนชั้นปีที่ 1 ที่เห็นก็ทราบอาการดี เพราะตัวเองเคยเป็น จึงรีบตาม จนท.กองแพทย์มาพา นตท.ภคพงศ์ไปรักษาจนอาการปกติ

ต่อมาเกิดอาการอีกจึงนำส่งโรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยเวลา 16.42 น. ทำซีพีอาร์นาน 4 ชั่วโมง จึงยุติ

จากการสอบสวนข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าตลอดทั้งวันของวันที่ 17 ตุลาคม 2560 นตท.ภคพงศ์ถูกใครสั่งลงโทษ หรือถูกทำร้ายร่างกาย จึงเชื่อว่าในวันดังกล่าวไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดลงโทษหรือทำร้ายร่างกาย นตท.ภคพงศ์ จนเป็นเหตุให้เสียชีวิต

ส่วนประเด็นเรื่องรอยฟกช้ำตามร่างกาย นตท.ภคพงศ์ พบว่าเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม เวลา 15.51 น. นตท.ภคพงศ์ลื่นล้มตกบันได 8 ขั้น

ช่วงเย็นวันที่ 15 ตุลาคม นักเรียนบังคับบัญชาเห็นว่านักเรียนยังมีวินัยไม่ดี จึงปลุกนักเรียนมาธำรงวินัยหลังเที่ยงคืน ในห้องเซาน่า เช้าวันที่ 16 ตุลาคม สั่งวิ่ง นตท.ภคพงค์วิ่งช้า ถูกกระโดดกบต่อ เมื่อเสร็จแล้วไม่ขอบคุณ จึงถูกสั่งพุ่งหลัง จนฟุบ หายใจเร็ว มือจีบ

ต่อมาวันที่ 16 ตุลาคม ช่วงเช้า สั่งวิ่งรอบโรงอาหาร ระยะทาง 100 เมตร ตัดท้ายแถวเอาคนวิ่งช้า 2 คน ซึ่งก็มี นตท.ภคพงศ์ด้วย แล้วสั่งให้กระโดดกบ 20 เมตร หลังเลิกให้เข้าแถวเพื่อขอบคุณ

แต่ นตท.ภคพงศ์ไม่พอใจ ไม่ขอบคุณ จึงโดนสั่งให้พุ่งหลัง 1-2 นาที จนฟุบไป หายใจเร็วถี่ มีลักษณะมือจีบ

ทั้งนี้ การพุ่งหลังเป็นท่าที่อนุญาตให้ใช้

สรุปได้ว่า การเสียชีวิตของ นตท.ภคพงศ์ ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดสั่งลงโทษหรือทำร้าย ซึ่งอาจจะเป็นเหตุให้เกิดการเสียชีวิต

แต่เมื่อมีหลักฐานใหม่ ก็ต้องพิสูจน์กันอีกครั้ง