ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 สิงหาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | กรองกระแส |
เผยแพร่ |
กรองกระแส
จุดยืน ทัศนะ
เยาวชน ประชาชน ปลดแอก
วิธีการ ทางออก
การปรากฏขึ้นของ “เยาวชนปลดแอก” เมื่อตอนค่ำของวันที่ 18 กรกฎาคม ดำเนินไปในกระสวนแห่งปรากฏการณ์หนึ่งในทางสังคม
สะท้อน “ความคิด” แสดงผ่านรูปธรรมแห่ง “การเมือง”
เริ่มต้นอาจเสนอข้อเรียกร้อง 3 ข้อที่ยึดโยงต่อกันและกัน กล่าวคือ 1 หยุดคุกคามประชาชน 1 ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ให้เป็นประชาธิปไตย และ 3 ยุบสภาเพื่อมอบโอนอำนาจให้ประชาชน
ต่อมาเมื่อพัฒนาขึ้นเป็น “ประชาชนปลดแอก” ก็เพิ่มอีก 2 จุดยืน
นั่นก็คือ 1 ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร เพราะไม่เห็นว่ารัฐประหารจะเป็นทางออก และ 1 ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลแห่งชาติ เพราะไม่เห็นว่ารัฐบาลแห่งชาติจะเป็นทางออก
และต่อมาก็เพิ่มความใฝ่ฝันอีก 1 ความใฝ่ฝัน
ที่ต้องยอมรับก็คือ ไม่ว่าข้อเสนอ ไม่ว่าจุดยืน ไม่ว่าความใฝ่ฝัน ล้วนร้อยรัดและสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นและรวมศูนย์อยู่ที่ “รัฐธรรมนูญ”
คำถามก็คือ ปรากฏการณ์นี้ก่อให้เกิดผลสะเทือนอย่างไร
เริ่มจากนิสิต-นักศึกษา
สะเทือนถึง “นักเรียน”
การเคลื่อนไหวในเดือนกรกฎาคม 2563 มีจุดเริ่มมาจากนิสิต-นักศึกษาและต่อมาได้ขยายไปสู่ประชาชนอันทำให้ละม้ายกับการเคลื่อนไหวในเดือนตุลาคม 2516 และการเคลื่อนไหวเมื่อเดือนพฤษภาคม 2535
แต่ที่แตกต่างออกไปก็คือ การทะลุทะลวงเข้าไปในหมู่ “นักเรียน”
มิใช่ว่าการเคลื่อนไหวเมื่อเดือนตุลาคม 2516 จะไม่มีนักเรียนเข้าร่วม เพราะแม้แต่เด็กอนุบาลก็ถูกดึงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการเคลื่อนไหว
แต่ดำเนินไปเพราะครูและโรงเรียนเห็นชอบด้วย
มิใช่ว่าการเคลื่อนไหวเมื่อเดือนตุลาคม 2516 จะไม่มีนักเรียนเข้าร่วม เพราะอย่างน้อยศูนย์กลางนักเรียนแห่งประเทศไทยก็ก่อรูปตั้งแต่ยุคจอมพลถนอม กิตติขจร
แต่บทบาทของนักเรียนก็เสมอเป็นเพียงส่วนเสริม ไม่มีลักษณะกัมมันตะมากนัก
ตรงกันข้าม ผลสะเทือนจากการชุมนุมเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม และโดยเฉพาะในวันที่ 16 สิงหาคม ได้ก่อให้เกิดลักษณะ “อาฟเตอร์ช็อก” ขึ้นอย่างครึกโครม
ดึงนักเรียนเข้าร่วมอย่างมีลักษณะ “กัมมันตะ” สูงยิ่ง
เยาวชนปลดแอก
กับ “พัฒนาการ”
แม้ในเบื้องต้นของการปรากฏตัวของ “เยาวชนปลดแอก” จะถูกเรียกอย่างหมิ่นหยามจากแต่ละองคาพยพของอำนาจว่าเป็น “ม็อบมุ้งมิ้ง” ว่าเป็น “ม็อบฟันน้ำนม” ว่าเป็น “ม็อบวูบวาบ”
ความหมายก็คือด้อยค่าว่าเป็นเรื่องของเด็ก ไม่มีความหมายอะไร
แต่ก็ต้องยอมรับในเชิงพื้นที่และในเชิงปริมาณว่าพัฒนาเติบใหญ่อย่างไม่ขาดสาย ด้วยเวลาอันรวดเร็วก็ขยายจาก 1 จุดเป็น 100 กว่าในขอบเขตทั่วประเทศ
หากวัดจากจำนวนก็เป็นเรือนหลายพัน และเรือนหลายหมื่น
ยิ่งภายหลังจากการชุมนุมบนถนนราชดำเนินในวันที่ 16 สิงหาคม และมีผลสะเทือนต่อเยาวชนระดับนักเรียน ยิ่งทำให้ปริมาณเหยียบเป็นเรือนแสนและอาจถึงเรือนล้าน
ขณะเดียวกัน ก็สามารถสร้างเอกภาพทางความคิดและข้อเสนอได้อย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าจะเป็น 3 ข้อเรียกร้อง หยุดคุกคามประชาชน ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ยุบสภา ไม่ว่าจะเป็น 2 จุดยืนไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลแห่งชาติ
และที่สำคัญคือความฝันอันจะสำแดงผ่าน “รัฐธรรมนูญ”
จุดยืน และทัศนะ
กับวิธีการต่างกัน
ต้องยอมรับว่าปรากฏการณ์ “เยาวชน/ประชาชนปลดแอก” ได้ทะลวงเข้าไปในสังคมอย่างทรงพลังและนำไปสู่มุมมองที่แตกต่างกันอย่างรุนแรง แข็งกร้าว
มีทัศนะในแบบของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
โดยมีบางส่วนของ 250 ส.ว.ออกมาแวดล้อม โดยมีบางส่วนของพรรคพลังประชารัฐออกมาหนุนเสริมและให้ความเห็นชอบ
แนวโน้มก็คือ มองว่าเป็นปรากฏการณ์ที่มี “เบื้องหลัง”
เมื่อมองว่าเป็นปรากฏการณ์ที่มีเบื้องหลัง จึงมองไม่เห็นบทบาท มองไม่เห็นความหมายและจงใจละเลยต่อข้อเรียกร้องของ “เยาวชน/ประชาชนปลดแอก” โดยเจตนา
ต้องการเตะถ่วง ดำเนินกลยุทธ์ซื้อเวลา
ขณะเดียวกัน ในอีกด้านก็ใช้มาตรการคุมเข้มตั้งแต่ระดับโรงเรียน ระดับวิทยาลัย ระดับมหาวิทยาลัย กระทั่งเปิดไฟเขียวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารและฝ่ายปกครองคุกคาม
หวังว่ากลยุทธ์หลอกลวงและคุกคามจะสยบการเคลื่อนไหวลงไปได้ในที่สุด
สถานการณ์ใหญ่
วิธีวิทยา ต้องคมชัด
สภาพการณ์ทางการเมืองอันเกิดขึ้นจาก “เยาวชน/ประชาชนปลดแอก” ในขณะนี้เรียกร้องเครื่องมือในการทำความเข้าใจอย่างเป็นพิเศษ
หากใช้ “เครื่องมือ” ผิดพลาด ไม่มีประสิทธิภาพ ผลก็ผิดพลาด ไม่มีประสิทธิภาพ
แต่ละจังหวะก้าวไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายค้าน หากไม่สามารถทำความเข้าใจต่อสถานการณ์อย่างถูกต้องเป็นจริง
โอกาสที่จะตัดสินใจผิดพลาด ดำเนินการผิดพลาดมีสูงอย่างสูงยิ่ง
มีความจำเป็นต้องอยู่ในจุดยืนที่ยึดกับสภาพความเป็นจริง ทัศนะอันสำแดงออกมาจึงสอดรับกับความเป็นจริง วิธีการอันเป็นทางออกจึงจะไม่เหินจากความเป็นจริง
จุดยืนดี ทัศนะดี วิธีการย่อมดี