อนุสรณ์ ติปยานนท์ : เรื่องราวของหญิงสาว

ปากะศิลป์ฉบับอ่านใหม่ (43)
ป่าน้ำผึ้ง (8)

“ป่าเหนือเมื่อไปได้พบมา

เมืองเหนือเมื่อน้ำบ่า เลาะธารซ่านซ่าเคล้าดัง

น้ำไหลไปหลากมากครั้ง

หมุนวนสายชลเหมือนดังไหลหลั่งเป็นวังน้ำวน

ริมฝั่งวังน้ำค่ำลงคงมี แสงจันทร์

คืนหนึ่งคืนนั้นพบกันน้องเอย สองคน

เมืองเหนืออนงค์นั้นคงมีมนต์

เป่าหัวใจเสียจน ก่นให้ ใฝ่ฝัน”

มนต์เมืองเหนือ ประพันธ์โดย ไพบูลย์ บุตรขัน

 

“ผมตื่นขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้น แต่ไม่ใช่บนศาลาหลังที่ผมสลบหลับใหลไปในเมื่อคืนก่อน ผมตื่นขึ้นกลางลานโล่งในป่าแห่งหนึ่ง รอบตัวผมมีชาวบ้านกลุ่มใหญ่รายล้อม บางคนก็นั่งยองๆ กับพื้นมองดูผม บางคนก็ยืนมองผมห่างๆ มีแต่ผู้ใหญ่บ้านคนเดียวที่เดินวนไปรอบๆ เขาสูบบุหรี่และพ่นควันเป็นทางยาวในอากาศ ควันบุหรี่รวมตัวกับหมอกหนายามเช้าหลังจากนั้นก่อนจะหายไปกับแสงแดดอ่อน”

“คุณพี่แน่ใจหรือครับว่าคุณพี่ได้สลบไปที่ศาลาแห่งนั้นจริงๆ?” ชายหนุ่มถาม

หลวงบุเรศรฯ ยิ้มให้ชายหนุ่ม “คุณถามคำถามเดียวกันกับที่ทุกคนถามทีเดียว”

ชายหนุ่มถามต่อ “และหญิงสาวคนนั้นยังอยู่กับคุณพี่ด้วยไหม เมื่อคุณพี่ตื่นขึ้น?”

ครานี้หลวงบุเรศรฯ สั่นศีรษะช้าๆ เขายกแก้วที่บรรจุเหล้าขึ้นดื่ม

“นี่เป็นคำถามที่ไม่มีใครถามในเช้าวันนั้น เธอไม่ได้อยู่ในที่นั้นแล้ว และอีกอย่างคือผมไม่ได้เล่าเรื่องของเธอให้ใครฟังเลย”

“พวกเขาพาผมกลับไปยังบ้านพัก” หลวงบุเรศรฯ กล่าวต่อ “หลังอาหารเช้าที่เป็นเพียงข้าวต้มกับผักดอง ผมก็แจ้งกับพวกเขาว่าผมมีอาการเดินละเมอซึ่งเป็นโรคประจำตัวที่รักษาไม่หาย ผมบอกพวกเขาว่าคงเนื่องจากการนอนผิดที่ผิดทางนั่นเองที่ทำให้อาการดังกล่าวจากโรคนี้กำเริบขึ้น ชาวบ้านทุกคนดูจะยอมรับและเชื่อในคำอธิบายของผม เว้นแต่ผู้ใหญ่บ้านผู้เป็นเจ้าของบ้านที่ผมใช้พักอาศัยที่หาได้ปริปากถ้อยคำใดออกมาแม้แต่คำเดียว”

“ตลอดวันนั้น ผมพยายามเก็บตัวห่างจากผู้คน ขบคิดและครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ผมนั่งอยู่ใต้ถุนเรือนพักของตนเอง พยายามค้นหาร่องรอยของหญิงสาวผู้นั้น ไม่มีหูกทอผ้า ไม่มีผ้าทอผืนยาว ไม่มีแม้เศษด้ายหรือเศษผ้าที่เป็นหลักฐานพยานว่ามีการทอผ้าที่นั่น ผมออกเดินไปตามทางที่พอจำได้ แต่ก็เพียงแค่ภายในบริเวณหมู่บ้านเท่านั้น”

“พ้นจากอาณาเขตนั้นแล้ว ผมจนปัญญาที่จะหาทางกลับไปในป่า และการถามทางไปยังที่ผมถูกพบก็ดูเป็นเรื่องยาก ชาวบ้านทุกคนพากันส่ายหน้าปฏิเสธเมื่อผมขอให้พวกเขาพาผมกลับไปในป่าอีกครั้งหนึ่ง”

 

“เมื่อยามค่ำมาถึง พวกชาวบ้านพากันตระเตรียมอาหารให้ผมตั้งแต่พระอาทิตย์หมดแสง อาหารแม้ว่าจะเป็นไปในแบบง่ายๆ คือแกงดอกแคกับไก่ และน้ำพริกที่ทำจากพริกกับเกลือก็ให้ความอิ่มเอมกับผมมาก ยามค่ำในภาคเหนือมาพร้อมกับความหนาวเย็น แต่ที่ชวนให้เหน็บหนาวกว่านั้นคือวาจาจากผู้ใหญ่บ้าน”

“เขาเอ่ยกับผมเป็นครั้งแรกหลังจากแม่บ้านของเขาเก็บสำรับอาหารไปเรียบร้อย เขาบอกว่าพรุ่งนี้เมื่อรุ่งสางแล้วขอให้ผมเก็บของออกจากหมู่บ้านเสียโดยเร็ว เขากล่าวขอโทษที่ไม่อาจต้อนรับผมได้เนิ่นนานกว่านี้ อีกทั้งเขายังขอให้ผมอย่าถามเหตุผล อย่าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมให้ใครฟัง

“กระผมรู้ดีว่าท่านไม่ได้พูดความจริงทั้งหมดออกมา ดังนั้น ก็ขอให้ท่านเก็บความลับที่ว่านั้นไว้ตลอดกาลเถิด”

เขากล่าวกับผมด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด “นอกจากนี้ คืนนี้ท่านต้องนอนอยู่กับพวกเราทุกคนที่นี่ และท่านต้องไม่ลงไปข้างล่างของบ้านนี้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม” นั่นคือคำวาจาสิทธิ์จากเขา”

 

“พอพลบค่ำ พวกชาวบ้านช่วยกันจุดคบไฟติดไว้ตามเสาและตามคาคบ รอบบริเวณนั้นสว่างไสวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ผมอาบน้ำจากโอ่งน้ำด้านหลังอย่างลวกๆ พอเป็นพิธี ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่และขึ้นบ้าน ผู้ใหญ่บ้านจัดที่นอนของผมไว้ด้านในสุดของระเบียงบ้าน แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือเขาขออนุญาตมัดแขนข้างขวาของผมเข้ากับลูกระเบียงของตัวระเบียง ก่อนที่ชาวบ้านทุกคนจะล้มตัวลงนอนเรียงรายรอบๆ ตัวผม ผู้ใหญ่บ้านนั้นนอนอยู่นอกสุดขวางทางลงบันไดเลยทีเดียว แกเอาปืนยาววางไว้เหนือหัวนอนและลงนอนเป็นคนสุดท้าย”

“ผมสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นเหล่านั้นด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย เพียงช่วงเวลาข้ามคืน ผมเปลี่ยนสถานะจากข้าราชการผู้ใหญ่ที่เดินทางมาจากเมืองหลวงเป็นนักโทษไปเสียแล้ว นั่นคือความทุกข์ข้อแรกที่เกิดขึ้นในดวงกมลของผม แต่ความทุกข์ประการที่สองคือผมกังวลเสียเหลือเกินว่าจะไม่ได้เจอกับหญิงสาวผู้นั้นอีก”

“ต้องยอมรับว่าความงามของหญิงสาวผู้นั้น บทสนทนาอันเต็มไปด้วยข้อสงสัยของเธอและการเดินทางเข้าไปในป่ายังสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอันตรธานไปทำให้ผมไม่ยินดีที่จะจากที่นี้ไป ดังนั้น หากผมต้องไปจากสถานที่แห่งนี้จริงโดยไม่ล่วงรู้ถึงเหตุผลเบื้องหลัง เป็นสิ่งที่ทรมานใจผมอย่างแรง”

“ผมนอนครุ่นคิดถึงหญิงสาวผู้นั้นอยู่จนค่อนคืน ความรู้สึกสิ้นหวังที่จะไม่ได้เจอะเจอกับเธออีกทำเอาหัวใจของผมเจ็บปวดจนน้ำตาแทบจะไหลออกมาเสียด้วยซ้ำ ผมพลิกตัวก้มหน้าลงกับหมอนตั้งใจจะข่มตาให้หลับก่อนจะได้ยินเสียงทอผ้าดังขึ้นมาจากเบื้องล่าง”

 

ชายหนุ่มชงเหล้าอีกแก้วให้กับหลวงบุเรศรฯ ก่อนจะขอตัวขึ้นไปบนบ้าน เขาลงมาพร้อมกับเครื่องกระป๋องสองสามชนิด เขาเปิดแฮมกระป๋องขึ้น ซอยหอมแดง มะนาว พริก แล้วทำยำหมูแฮมอย่างง่ายๆ ให้กับหลวงบุเรศรฯ

ดวงดาวปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าจนพร่างฟ้า เป็นเวลาค่อนคืนแล้วแต่เขากลับไม่รู้สึกง่วงหรืออ่อนเพลีย

สิ่งที่คุณหลวงกำลังถ่ายทอดให้เขาฟังนั้นดึงดูดให้เขาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวอย่างลึกซึ้ง

หลวงบุเรศรฯ ตักอาหารยามดึกใส่ปากขึ้นชิมสองสามคำก่อนเอ่ยว่า

“เครื่องกระป๋องนี่นะคุณ ถ้าเราสามารถพลิกแพลงทำอะไรได้อยู่เรื่อยๆ มันก็เป็นของมีค่ามาก โดยเฉพาะยามที่เจอเข้ากับวิกฤตตามธรรมชาติ ผมเคยติดอยู่ในป่าแถวคอนสารเพราะน้ำป่าครั้งหนึ่ง น้ำมันเชี่ยวเสียจนทลายหน้าดินพังเป็นแถบๆ พวกเราต้องย้ายที่นอนแทบจะทุกวัน จะลงไปข้างล่างก็ไม่ได้ จะให้คนจากข้างล่างขึ้นมาหาก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน ข้าวสารที่นำติดตัวไปนี่แบ่งกันหุงจนแทบจะเม็ดสุดท้าย ได้พวกเครื่องกระป๋อง ทั้งหมูกระป๋อง ผักกาดกระป๋องนี่เองที่ช่วยชีวิตไว้ น้ำป่านี่เป็นอีกสิ่งที่ถ้าทำได้ ถ้าเลือกได้ ผมขอไม่อยากเจออีกเช่นกัน เสียงน้ำที่มันโค่นต้นไม้ใหญ่ไล่มาทีละต้นนั้นบาดหัวใจเหลือเกิน”

“แต่ก็คงไม่เท่ากับสิ่งที่คุณพี่เจอที่หมู่บ้านนั้น”

“ไม่เท่าหรอกคุณ ไม่มีทาง” หลวงบุเรศรฯ ยิ้มและก็ถอนหายใจยาว

 

“คงเป็นเวรกรรมของผมจริงๆ ที่หลับตาไม่ลงจนได้ยินเสียงหูกทอผ้านั้นอีก ในตอนแรกผมตั้งใจจะนอนฟังมันจนถึงเช้า ถ้าหญิงสาวผู้นั้นจะปรากฏตัวขึ้น ผมก็จะขอฟังเพียงเสียงอากัปอาการของเธอ แต่จะขอไม่ไปแยแสไยไพกับเรื่องอื่นเลย แต่ครั้นผมยกแขนขึ้นจะพลิกตัวอีกครั้งผมกลับพบว่าเชือกที่เขามัดแขนผมไว้กับขื่อมันหลุดออกไปเสียแล้วทั้งที่ผมหาได้แตะต้องมันไม่ ผมลุกขึ้นนั่ง ลังเลใจว่าจะกระทำการเช่นใดดี ในที่สุดผมก็ตัดสินใจว่าเป็นตายอย่างไร ผมจะขอพบหน้าเจ้าของเสียงทอผ้านั้นอีกครั้ง ถ้าจะไปได้สุดแค่เพียงบันไดบ้านเพราะถูกคนอื่นขัดขวาง ผมก็จะฝืนเสียจนได้เห็นใบหน้าของเธอ ผมขอเพียงเท่านั้นเป็นพอ”

“แต่ครั้นลุกเสียออกจากที่นอน ผมถึงพบว่าพวกชาวบ้านที่พากันเฝ้าผมนั้นรวมถึงตัวผู้ใหญ่บ้านเองด้วยล้วนหลับใหลไม่ได้สติเสียสิ้น ผมเดินแหวก ก้าวโหย่งๆ ไม่ให้โดนตัวพวกเขามาจนถึงบันไดเรือน ลากเอาบันไดออกมาพาดและลงมายังพื้นข้างล่าง ที่ใต้ถุนเรือนนั้นเอง หญิงสาวจากเมื่อคืนก่อนกำลังนั่งทอผ้าในท่วงท่าแบบเดิม เพียงแต่ในคืนนี้ผ้าที่เธอทอดูเหมือนกำลังจะเสร็จสิ้นลงเป็นผืนผ้าสมบูรณ์แล้ว

เมื่อเห็นผม เธอก็พักมือและเอ่ยกับผมว่า

“พี่รอสักครู่เถิด ผ้าผืนนี้จะแล้วเสียในอีกไม่นานนี่แหละ และหลังจากนั้นน้องจะพาพี่ไปถวายผ้าผืนนี้เป็นพุทธบูชาด้วยกัน”