ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 สิงหาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | คำ ผกา |
ผู้เขียน | คำ ผกา |
เผยแพร่ |
รัฐบาลไทย ณ ขณะนี้คิดโง่ๆ ว่าจะใช้สถานการณ์โควิดเป็นข้ออ้างในการคงไว้ซึ่ง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เพราะเข้าใจไปเองว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะทำให้คนไม่กล้าออกไปประท้วงขับไล่รัฐบาล แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น
และฉันจะทบทวนเรื่องความเหลวแหลกของรัฐบาลนี้อีกครั้ง
1.เป็นรัฐบาลที่ขึ้นสู่อำนาจอย่างไม่ชอบธรรม
เหตุที่ไม่ชอบธรรมเพราะรัฐบาลนี้มีอำนาจสืบเนื่องมาจากการรัฐประหารปี 2557 และใช้ห้วงเวลาที่ตนเองเป็นรัฐบาล คสช. ออกแบบระบบกฎหมาย รัฐธรรมนูญ การเลือกตั้งและการจัดวางตำแหน่งแห่งที่ขององค์อิสระ สมาชิกวุฒิสภา เรียกได้ว่าวางหมากกลไว้ทุกประการเพื่อตนเองจะได้สืบทอดอำนาจต่อไป
เมื่อได้แปลงร่างตนเองจากรัฐบาล คสช. มาเป็นรัฐบาล “ที่มาจากการเลือกตั้ง” ที่ใครๆ ก็ดูออกว่าเป็น คสช.จำแลงกายมาสวมรูปสวมรอยเป็นพรรคการเมืองที่ชื่อพรรคพลังประชารัฐ โดยการนำของ “ป้อม” ในท้ายที่สุด รัฐบาล คสช.จำแลงนี้ก็เที่ยวประกาศไปทั่วโลกว่า ฉันคือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และประเทศไทยแลนด์นี้มีประชาธิปไตยแล้วนะ
หือม… มันเป็นประชาธิปไตยที่แปลกมากเลยนะ
มันเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยที่เริ่มต้นจากการทำรัฐประหาร ขับไล่ไสส่งรัฐบาลที่ประชาชนเลือกมาออกไป
รัฐประหารเสร็จ นิรโทษกรรมตัวเอง ตั้งตนมาเขียนรัฐธรรมนูญเอง จัดทำประชามติ แล้วก็เที่ยวจับคนรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเข้าคุกไปพร้อมๆ กับการเรียกค่าไถ่ประชาชนไทยว่า ถ้าไม่รับร่าง ระวังจะไม่ได้เลือกตั้งเสียที
จากนั้นก็จัดการเลือกตั้งโดยที่ตัวเองมีอำนาจรัฐอยู่ในมือ แล้วก็ได้อยู่ในอำนาจรัฐต่อ ได้เป็นนายกฯ ต่อ ได้คุมทุกองคาพยพของรัฐ ระบบราชการ และองค์กรอิสระต่อ
2.เมื่อได้สืบทอดอำนาจสมใจ แทนที่รัฐบาลนี้จะคิดว่า เออ ไหนๆ ก็จับตัวเองใส่ตะกร้าล้างน้ำสำเร็จ ก็สวมรอยเป็นรัฐบาลพลเรือน ลองบริหารประเทศให้มันสมเหตุสมผล เรียกคะแนนนิยมจากประชาชนดูสักตั้งซิ
เพราะถ้าโจทย์ของฝ่าย “ประเพณีนิยมและอนุรักษนิยม” คือ ทำอย่างไรให้คนลืมทักษิณ ก็มีวิธีเดียวคือบริหารประเทศให้ได้ดีกว่าที่ทักษิณเคยทำ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ 5 ปีภายใต้ คสช. และ 2 ปีภายใต้ประยุทธ์ ณ พลังประชารัฐ ประชาชนสัมผัสได้แต่ความล้มเหลว
เรียกได้ว่าก่อนสถานการณ์โควิด เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจตัวเดียวที่ขับเคลื่อนประเทศอยู่คืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เพราะเครื่องยนต์ตัวอื่นๆ ทยอยดับกันไปหมดแล้ว
เคราะห์ซ้ำกรรมซัด โควิด-19 เข้ามา ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวดับอนาถ
3.อาจพูดได้ว่า สำหรับรัฐบาลประยุทธ์ ณ พลังประชารัฐเผชิญกับทั้งวิกฤตความชอบธรรมทางการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจที่ตอกย้ำว่า รัฐบาลภายใต้นายกฯ ที่ชื่อประยุทธ์ ไม่มีน้ำยาในการบริหารประเทศ
ไม่มีผลงานที่จะยืนยันว่ามีความรู้ ความสามารถ มีวิสัยทัศน์ ที่จะทำให้ประชาชนผู้เสียภาษีไว้ใจให้เขาเป็นนายกฯ เป็นผู้บริหารประเทศอีกต่อไปแล้ว
ไม่มีน้ำยายังพอทำเนา รัฐบาลนี้ยังเป็นรัฐบาลที่ก่อให้เกิดวิกฤตความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมอย่างหนักหน่วงที่สุด
และพีกที่สุดคือกรณีบอส และกรณีบ่อนที่เพิ่งจะเกิดขึ้น
นี่ยังไม่นับเรื่อง “นาฬิกา” เพื่อน ยังไม่นับเรื่องการใช้มาตรา 44 จนนำไปสู่การเสียค่าโง่เรื่องเหมืองทอง ยังไม่นับเรื่องการนำเงินออกไปซื้อเรือ ซื้อเครื่องบิน ซื้อเฮลิคอปเตอร์ ซื้อเครื่องบินหรูๆ ซื้ออาวุธสงครามกันรัวๆ ในยามที่ประเทศกำลังอัตคัดขัดสน โรงงานเจ๊งระนาว เอสเอ็มอีเจ๊งระเนระนาด
ไม่นับเรื่องการฉ้อราษฎร์บังหลวง การเก็บส่วย การสถาปนารัฐมาเฟีย เน้นเก็บค่าคุ้มครองมากกว่าเน้นการออกแบบระบบราชการและภาษีที่มุ่งให้ความปลอดภัย มั่นคงแก่ชีวิตของประชาชน
พูดให้ง่ายสุดๆ ไปเลยว่า ประชาชนให้โอกาสรัฐบาลนี้มานานมากแล้ว ระยะเวลาเกือบ 6 ปี
มันชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลนี้หาดีไม่ได้ หาเท่าไหร่ก็หาไม่ได้แม้แต่ข้อเดียว
นั่งคิดเรื่องจุดดี จุดเก่ง จุดสำเร็จของรัฐบาล หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
จะบอกว่า สำเร็จเรื่องโควิด-19 ก็พูดไม่เต็มปาก เพราะความสำเร็จเรื่องโควิด แลกมากับความพังพินาศทางเศรษฐกิจ การศึกษา อย่างชนิดที่ต้องมาถกกันยาวๆ ว่าคุ้มหรือไม่
และ/หรือ อันที่จริงเราสามารถประสบความสำเร็จเรื่องการรับมือกับโควิดไปพร้อมๆ กับการรักษาไม่ให้เรื่องการศึกษา เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตในภาพรวมของประชาชนเสียหายขนาดนี้ก็ย่อมได้ หากเรามีนายกฯ และรัฐบาลที่เซลล์สมองมมากกว่าแปดหมื่นสี่พันเซลล์
สลิ่มชอบพูดว่า เราไม่ต้องการคนเก่ง แต่เราต้องการคนดี
แต่รัฐบาลประยุทธ์ ณ พลังประชารัฐ ทำให้คนไทยได้เห็นว่า รัฐบาลนี้ไม่มีทั้งความดี ไม่มีทั้งความเก่ง
มีแต่เฮโรอีนที่กลายเป็นแป้ง และโคเคนที่กลายเป็นยารักษาฟันผุ
มี ครม.ก็เหมือนไม่มี เพราะไม่เห็นมีรัฐมนตรีคนไหนลุกขึ้นมาทำงานอะไรจนแทบจะจำชื่อรัฐมนตรีของแต่ละกระทรวงไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ
ที่พอจำได้ก็เช่น รัฐมนตรีพาณิชย์ที่ทำหน้ากากหายแล้วก็ยังไม่เคยได้ทำการค้าการพาณิชย์กับใครเลย
หรือในยุคโควิด รมต.สาธารณสุขควรจะโดดเด่น กระทรวงสาธารณสุขก็โดนไฮแจ๊กงานไปไว้ที่ ศบค.เสียอย่างนั้น
แล้วจนป่านนี้ก็ยังไม่มีวิสัยทัศน์อะไรออกมาจากรัฐบาลว่าประเทศยุคหลังโควิด เราจะเป็นอย่างไร ทำอะไร?
สิ่งที่รอประเทศไทยอยู่ข้างหน้าคือ GDP ติดลบร้อยละ 10 เป็นอย่างต่ำ
ตัวเลขคนว่างงานอาจสูงถึงแปดล้านคน
ยังไม่นับภัยพิบัติประจำปีที่มาแบบรูทีน คือ น้ำท่วม ฝนแล้ง ภัยหนาว ภัยฝุ่นพิษ ราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ
และต้องย้ำอีกทีว่า ยารักษาทุกโรคของไทยที่ใช้ได้มาตลอดคืออุตสาหกรรมท่องเที่ยวนั้นไม่รู้ว่าจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่
เพียงเท่านี้เราก็จะเห็นแล้วว่า เป็นไปไม่ได้ที่ม็อบไล่รัฐบาลจะไม่เกิด จะมีหรือไม่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ม็อบไล่รัฐบาลก็ต้องมีแน่ๆ ไม่ใช่เพราะประชาชน นักเรียน นักศึกษาเขาชังชาติ
แต่เพราะความอดทนที่มีต่อรัฐบาลนี้มันถึงขีดสุดแล้ว
ถ้าเป็นในสังคมอื่น แค่การที่อดีตนายกฯ เลือก ส.ว. เพื่อให้ ส.ว.โหวตตัวเองกลับมาเป็นนายกฯ แค่นี้ก็เพียงพอที่จะเกิดม็อบขับไล่รัฐบาลแล้ว
หรือถ้าเป็นสังคมอื่น การถอดธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกจากการเป็น ส.ส. ก็เพียงพอจะทำให้เกิดม็อบแล้ว
หรือถ้าเป็นสังคมอื่น การยุบพรรคอนาคตใหม่ก็เพียงพอต่อการทำให้เกิดม็อบแล้ว
หรือถ้าเป็นสังคมอื่น ความปั่นป่วนในการแจกเงินห้าพันบาทก็เพียงพอต่อการทำให้เกิดม็อบแล้ว ฯลฯ แต่ที่มันไม่เคยเกิด ก็เพราะว่าคนไทยและสังคมไทยอดทนและรอคอยว่า เออ…เผื่อมันจะมีอะไรดีขึ้น
ทีนี้นอกจากจะไม่ดีขึ้น นอกจากนายกฯ จะไม่พล่ามพูดอะไรไม่เป็นภาษา นอกจากจะไม่มีความหวังในทางเศรษฐกิจ ฟางเส้นเล็กๆ ที่หล่นลงมาเสียบลูกกะตาประชาชนยังเป็นเรื่องคดีกระทิงแดงอีก
มีเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ ประชาชนเสนอทางออกอย่างสันติให้รัฐบาลว่า แก้รัฐธรรมนูญเสีย ยุบสภาเสีย เอารัฐธรรมนูญ 2540 มาใช้ชั่วคราวเสีย เลือกตั้งใหม่เสีย เซ็ตซีโร่คืนอำนาจให้ประชาชนเสีย – เพียงแค่นี้ ประเทศชาติก็เดินต่อไปได้
แต่สิ่งนั้นก็ไม่เกิดขึ้น
เมื่อมันไม่เกิดขึ้น และประชาชนไม่ใช่วัว ไม่ใช่ควาย วันนี้ม็อบมันจึงเกิดรายวัน และไม่ใช่แค่ม็อบนักศึกษา
วันนี้กลุ่มคนที่อึดอัดกับประเทศชาติมากที่สุดคือเด็กมัธยม ที่เห็นแล้วว่า ฝากความหวังไว้กับผู้ใหญ่ไม่ได้
เพราะถ้าผู้ใหญ่พึ่งได้ พวกเขาก็ไม่ต้องมาเจอกับอะไรเหล่านี้หรอก วันนี้เด็กๆ จึงเดินมาถึงจุดที่เขาคิดว่า สู้ก็ตาย ไม่สู้ก็ตาย สู้ลุกขึ้นสู้ ยังมีลุ้นว่าอาจจะไม่ตายและมีอนาคตที่ดีกว่านี้รออยู่
มันมาถึงวันที่เด็กเขาชัดแล้วว่า ถ้าเขาไม่สู้ก็ไม่มีผู้ใหญ่ที่ไหนสู้เพื่อเขา ถ้าเขาไม่ทำก็ไม่มีใครทำ
ดังนั้น แทนที่จะปลุกวาทกรรมชังชาติและสร้างนิทานมาหลอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด เด็กถูกปั่นหัวล้างสมองมาจากพวกนักการเมือง ฝ่ายอนุรักษนิยม ประเพณีนิยม ควรจะหยิกตัวเองแรงๆ และเผชิญหน้ากับความจริงว่า “โลกเก่า” นั้นได้ล่มสลายไปแล้ว
หมากเกมที่เคยใช้เดินในยุค 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 นั้นใช้ไม่ได้แล้ว
เพราะโลกปัจจุบันไม่มีคอมมิวนิสต์ ไม่มีสงครามเย็น ไม่มีเวียดกงอะไรมาหลอกคนไทยแล้ว
นาทีนี้ฝ่ายประเพณีนิยมและอนุรักษนิยมยังพอมีทางลงที่สวยงามและคลาดแคล้วจากการเป็นทรราชได้ด้วยการยอมฟังข้อเรียกร้องของนักเรียน นักศึกษาที่ไม่ได้เรียกร้องอะไรมากไปกว่า การหยุดคุกคามนักเคลื่อนไหว ยกเลิกการใช้อำนาจเถื่อนตามอำเภอใจ, ขอฉันทามติจากสภาให้นำรัฐธรรมนูญปี 2540 มาใช้, ยุบสภาเลือกตั้งใหม่
หลังจากนั้นให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งรับผิดชอบการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาให้เป็นหลักเป็นฐาน เป็นอารยะ
จะเป็นทรราช หรือจะพลิกบทบาทมาเป็นผู้ร่วมผลักดันให้สังคมไทยเปลี่ยนผ่านไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย?
จะเป็นอะไรก็เลือกเอา