ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 สิงหาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศอินโดจีน |
เผยแพร่ |
ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในฟิลิปปินส์ยังคงอยู่ในระดับที่อันตรายอย่างมาก ในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว เรื่อยมาจนถึงสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคม ยอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในแต่ละวันมีหลายพันคน
แล้วก็เพิ่งสร้างสถิติผู้ป่วยรายวันสูงสุดขึ้นมาใหม่เมื่อ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา วันเดียวมีผู้ติดเชื้อเพิ่มถึง 5,000 ราย
ซึ่งทำให้ฟิลิปปินส์ก้าวขึ้นเคียงคู่กับอินโดนีเซีย ในฐานะประเทศในอาเซียนที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมมากที่สุด ประเทศละเกิน 1 แสนคนไปแล้ว
ทั้งๆ ที่โดยข้อเท็จจริงแล้ว ฟิลิปปินส์เป็นหนึ่งในประเทศที่ประกาศใช้มาตรการ “ล็อกดาวน์” ต่อเนื่องกันยาวนานที่สุดประเทศหนึ่งของโลก
ชาวตากาล็อกต้องทนรับมาตรการเข้มงวดมาตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม เพิ่งจะมาผ่อนคลายความเข้มงวดลงอย่างเห็นได้ชัดในวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมานี่เอง
เหตุผลของรัฐบาลในการปลดล็อกก็เหมือนกับในหลายประเทศ นั่นคือต้องการรื้อฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหลายขึ้นมาอีกครั้งหลังจากหดหายไปจนเกือบหมดสิ้น
องค์การเพื่อการพัฒนาและเศรษฐกิจแห่งชาติ (เอ็นอีดีเอ) ประเมินว่าภาวะล็อกดาวน์ โดยเฉพาะในเขตเมโทรมะนิลา หรือมหานครมะนิลากับจังหวัดใกล้เคียง ตั้งแต่คาวิเต้, ริชาล, บูลาคัน และลากูนา ทำให้เศรษฐกิจเสียหายมากถึง 1.1 ล้านล้านเปโซ
คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 5.6 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศทั้งหมด และยังไม่นับรวมกับการที่ทำให้เกิดคนตกงานราว 7 ล้านคน
ล็อกดาวน์ เศรษฐกิจพัง แต่พอคลายล็อกปุ๊บ เป็นเรื่องปั๊บ เกิดการแพร่ระบาดครั้งใหม่ที่ดูแล้วรุนแรงมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา
ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคม สมาคมด้านการแพทย์ราว 50 สมาคมที่ฟิลิปปินส์ออกแถลงการณ์เตือนว่า ที่ระดับการระบาดหลายพันคนต่อวันอย่างนี้ ไม่ช้าไม่นานระบบสาธารณสุขของชาติจะล่มสลาย
ตอนนี้หลายโรงพยาบาลกำลังตกอยู่ในสภาพตึงเปรี๊ยะ เตียงรองรับผู้ป่วยหนักจวนเจียนจะเต็มเต็มที บุคลากรมีงานล้นมือ แทบไม่อาจรับผู้ติดเชื้อรายใหม่เข้ามาดูแลได้อีกแล้ว
ในเวลาเดียวกัน บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขก็ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
สะท้อนข้อเท็จจริงที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขบ่นมาตลอดเกี่ยวกับการขาดแคลนวัสดุ อุปกรณ์เพื่อการป้องกันการติดเชื้อทั้งหลายทั้งปวง
ทำงานหนักมากขึ้น แต่รายได้ไม่เพิ่ม แถมต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนไปทำงานหนักเอง ไม่มีรถราบริการ ทั้งที่ระบบขนส่งมวลชนถูกระงับดำเนินการแล้วก็ตามที
นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มของกระแสวิพากษ์วิจารณ์ท่านประธานาธิบดีคนดัง โรดริโก ดูแตร์เต ดังระงมขึ้นตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกออนไลน์
ต่อด้วยการที่กลุ่มแพทย์กลุ่มหนึ่งเขียนจดหมายเปิดผนึก ชำแหละและขับไล่ฟรานซิสโก ดูเก้ รัฐมนตรีสาธารณสุข กับบรรดาอดีตนายพลทหารที่เข้ามารับหน้าที่เป็นหัวหน้าสำนักงานเฉพาะกิจต้านโควิดของท่านประธานาธิบดี
บุคลากรสาธารณสุขจำนวนหนึ่งออกมาร่วมประท้วงกับชาวบ้าน แต่ส่วนใหญ่ประท้วงผ่านโลกออนไลน์
โดยอาศัยเพลงฮิตจากภาพยนตร์ เลส์ มิสเซอราบส์ “Do You here the people sing?” มาใส่เนื้อภาษาตากาล็อกเป็นสื่อ
สิ่งที่บรรดาแพทย์เรียกร้องให้รัฐบาลทำก็คือ ให้รัฐบาลกลับมาล็อกดาวน์เข้มงวดใหม่อีกครั้ง เพิ่มปริมาณการตรวจสอบหาเชื้อโดยใช้วิธีอาร์ที-พีอาร์ซี หรือการเก็บตัวอย่างจากโพรงจมูก แทนที่การใช้ “แรพพิด เทสต์” ซึ่งมีความคลาดเคลื่อนสูงมาก
แล้วก็ต้องแกะรอย สอบสวนโรคให้มากกว่าเดิม เคร่งครัด เข้มงวดกว่าที่ผ่านมา
น่าเศร้าที่แม้จะได้ยิน แต่ดูแตร์เตกลับคิดไปอีกทาง ตีหน้าเครียดหันรีหันขวาง หาว่าพวกคุณหมอจะปฏิวัติ แถมท้าทายต่อว่า ถ้าคิดว่าแก้ปัญหาได้ก็เอาสิ!
ถ้ายังไปคนละทางกันอย่างนี้ โควิด-19 ก็คงระบาดในฟิลิปปินส์ต่อไปได้อีกนาน!