โควต้าคนนอกกระชากเก้าอี้ในฝัน ปรับ ครม.ใหม่สะเทือนถึงสภา ระวังสึนามิต่อด้วยอาฟเตอร์ช็อก

เริ่มเห็นเค้าลางการแก้รัฐธรรมนูญขึ้นมาบ้าง แม้จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง แต่ก็ต้องยอมรับว่า แรงเขย่าจากนักเรียน นักศึกษา ที่ออกมาเรียกร้องนั้นมีผลให้รัฐบาลขยับตัว มีแอ๊กชั่นมากกว่าที่ผ่านมา ที่รัฐบาลดูดายกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาโดยตลอด เริ่มมีการขยับเขยื้อนขึ้น หลังจากบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถกหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย ที่จะเสนอร่างของรัฐบาลร่างเดียว

แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เห็นท่าทีที่แน่ชัดของพรรคพลังประชารัฐต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะมัวแต่ฝุ่นตลบกับตำแหน่งรัฐมนตรีในพรรคแกนนำ

ถึงแม้รายชื่อจะนิ่งแล้ว แต่เรื่องในพรรคของคนอกหักยังไม่จบ เพราะโผที่ออกมามีชื่อรัฐมนตรีคนนอก 2 คน ควบ 3 ตำแหน่ง ที่จะมาเป็นทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ของรัฐบาลลุงตู่ ทั้ง “ปรีดี ดาวฉาย” จะมาทำหน้าที่รองนายกรัฐมนตรี ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

ซึ่งเดิมในมุ้งพลังประชารัฐ โดยเฉพาะ “ก๊กสามมิตร” มองว่าเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานควรจะเป็นของพรรค เพราะเดิมเป็นของ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” ผู้ซึ่งเคยทำหน้าที่เลขาธิการพรรค

และถึงแม้ “อนุชา นาคาศัย” เลขาธิการพรรคคนใหม่ จะบารมียังไม่ถึง แต่ก็ยินยอมพร้อมใจจะยกเก้าอี้รัฐมนตรีพลังงานให้ลูกพี่ใหญ่ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” เพื่อแลกกับกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ดูจะสมน้ำสมเนื้อกับตำแหน่งเลขาธิการพรรค

แต่ก็เปล่า…

แม้ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หัวหน้าพรรค จะรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าเก้าอี้พลังงานจะต้องเป็นของ “สุริยะ” แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่การเล่นไพ่คนละหน้า ระหว่างหัวหน้าพรรคกับหัวหน้ารัฐบาล ที่หักดิบเอาคนนอกมาทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

ทำให้ “สุริยะ” ต้องนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเช่นเดิม

ในขณะที่ “อนุชา นาคาศัย” ดีกรีเลขาธิการพรรค กลับเป็นได้แค่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ยึดโควต้า “เทวัญ ลิปตพัลลภ” จากพรรคชาติพัฒนา แต่ก็ต่างจากเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ที่ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงใหญ่ ทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงคมนาคม ที่เป็นหน้าเป็นตาให้กับพรรค ทั้งที่พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล

สร้างความมาคุให้กับ ส.ส.ในกลุ่มสามมิตรทันที และยังสะเทือนไปถึงกลุ่มอื่นๆ เพราะต้องยอมรับว่า “เสี่ยแฮงค์” เป็นมือประสานทุกกลุ่มตั้งแต่หาเสียงก่อนการเลือกตั้ง และยังทุ่มไม่อั้นให้กับ ส.ส.ตลอดช่วงที่ผ่านมา

ส่วน “สุชาติ ชมกลิ่น” มือประสานกลุ่มภาคกลางตอนล่าง ในฐานะประธาน ส.ส.พรรค โดยมี ส.ส.กลุ่มนี้หนุนหลัง ตั้งไลน์กลุ่มพรรคขึ้นมาสนับสนุน “เสี่ยเฮ้ง” เป็นรัฐมนตรี โดยเฉพาะช่วงโควิดระบาดหนักๆ “เสี่ยเฮ้ง” ค่อนข้างมีแอ๊กชั่นในการดูแลหาอุปกรณ์ป้องกันโควิดแจกจ่ายให้ ส.ส.นำไปช่วยชาวบ้าน จนในไลน์กลุ่มเรียกท่านรัฐมนตรีล่วงหน้ามาหลายเดือนแล้ว

งานนี้จึงได้รับการปูนบำเหน็จรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ต่อสายหา “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ด้วยตัวเอง เพื่อขอแลกโควต้ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจากพรรครวมพลังประชาชาติไทย กับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

โดยส่ง “เอนก เหล่าธรรมทัศน์” มาทำหน้าที่แทนหม่อมเต่า “ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล” ที่ถูกบีบให้ลาออกไปก่อนหน้านี้

ขณะที่ “โฆษกบิ๊กอาย” อย่าง “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” หลายคนออกมาบอกว่าพรรษายังไม่ถึง เพราะเพิ่งเคยเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อครั้งแรก และลาออกมาทำหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

แต่ก็ยังมีเสียงลือเสียงเล่าอ้าง ระยะหลัง “อาจารย์แหม่ม” จะอยู่ทุกที่ที่ “หัวหน้าป้อม” ปรากฏกาย

เพราะเดิมที “อุตตม สาวนายน” ทำหน้าที่หัวหน้าพรรค “โฆษกตาโต” ไม่ได้มีบทบาทในพรรคพลังประชารัฐเท่าใดนัก แต่จะไปร่วมอยู่ที่มูลนิธิแห่งหนึ่งที่มีการประชุมระดับแกนนำพรรคเสียมากกว่า

แต่เมื่อมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพรรคพลังประชารัฐใหม่ “อาจารย์แหม่ม” ก็มีตำแหน่งเหรัญญิกพรรค และมีการเปิดตำแหน่งใหม่ให้ คือตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ทั้งที่ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานถูกยุบไปนานมากแล้ว และถูกเปิดขึ้นมาใหม่เพื่อ “อาจารย์แหม่ม” โดยพลัน

ท่ามกลางกระแสข่าวการนำรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯ “ดร.นฤมล” รีบชิงยื่นใบลาออกและส่งข่าวให้สื่อทราบทันทีโดยไม่รีรอว่าข้อเท็จจริงของข่าวเป็นเช่นไร

ทำเอาหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่าจะรีบยื่นใบลาออกทำไม เพราะตำแหน่งโฆษกรัฐบาลไม่มีผลทางการเมือง

สามารถทำหน้าที่ไปจนถึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ลงมาก่อนยังได้

ทว่าถ้าโผรายชื่อเป็นไปตามที่ว่ามานี้ก็ยังไม่มีความขุ่นเคืองคุกรุ่นอยู่ในพรรคพลังประชารัฐ เพราะ “สันติ พร้อมพัฒน์” เองก็หวังจะขยับขึ้นว่าการกระทรวงการคลัง หลังจากพลาดตำแหน่งเลขาธิการพรรคให้กับ “เสี่ยแฮงค์”

กระทั่งอยู่ๆ เมื่อต้นสัปดาห์ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” ในฐานะรองหัวหน้าพรรค และแกนนำกลุ่มสามมิตร ออกมาระบุว่า “แกนนำพรรคพลังประชารัฐบางส่วนที่พลาดหวังในตำแหน่งรัฐมนตรี ยอมรับว่าอาจจะมี 1-2 ครั้งที่อาจจะกระทบกับการทำงานในสภาผู้แทนราษฎร แต่หลังจากพูดคุยทำความเข้าใจแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะผู้พลาดหวังจากการปรับ ครม.ครั้งนี้ เหมือนคนอกหัก ที่อาจจะช็อก แต่ 1-2 อาทิตย์ก็หาย และคงไม่ใช้เวลานาน เพราะไม่ใช่รักแรกพบ ก็น่าจะทำใจได้เร็ว เนื่องจากการปรับ ครม.มีหลายครั้งแล้ว”

คำพูดของ “สมศักดิ์” เป็นคำพูดที่มีนัยซ่อนเร้น ส่งตรงไปหลายที่ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนอกหักต้องทำใจ และอีกนัยหนึ่งส่งตรงไปถึงการทำหน้าที่ในสภา ที่ว่าจะต้องมีผลกระทบบ้าง 1-2 ครั้ง

แต่หากผลกระทบครั้งนี้ไปเกิดขึ้นกับการผ่านร่างงบประมาณประจำปี 2564 ในวะระ 2-3 หากมือของ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลมาไม่ครบ รับรองว่ารัฐบาลนี้จะเจอกับสึนามิลูกใหญ่ และตามมาด้วยอาฟเตอร์ช็อกอีกหลายระลอกแน่

ดังนั้น “นายกฯ” จึงไม่ควรประมาทคำพูดของ “สมศักดิ์”

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือไปจากการปรับ ครม.แล้ว ยังมีตำแหน่งโฆษกสำนักนายกฯ ที่ยังว่างอยู่ หลังจากที่อาจารย์แหม่มลาออก ทำให้มีชื่อนายธนกร วังบุญคงชนะ ผุดขึ้นมาแทนที่ เพราะต้องไม่ลืมว่า นายธนกรเคยทำหน้าที่โฆษกพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วยดีกรีเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ลาตำแหน่งไปพร้อมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยที่ผ่านมานายธนกรได้ทำหน้าที่ปะฉะดะ ต่อกรกับฝ่ายค้านในทุกมิติ ไม่เว้นแต่ละวัน

แต่ชื่อลอยมายังไม่ทันข้ามวัน “บิ๊กตู่” ออกมากลบข่าวทันทีว่ามีชื่อคนที่เหมาะสมอยู่ในใจ แต่ไม่ได้ตำหนิว่าใครบกพร่อง และยังไม่ได้แต่งตั้งใคร…

จึงไม่รู้ว่าวันนี้ “ดร.แด๊ก” จะยังมีความหวังอยู่หรือไม่ หรือใครกันแน่ที่อยู่ในใจ “ลุงตู่” แล้ว