อนุสรณ์ ติปยานนท์ : บทสนทนาของชาย 2 วัย

ปากะศิลป์ฉบับอ่านใหม่ (41)

ป่าน้ำผึ้ง (6)

“ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร

ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน

แม้อยู่ในใต้หล้าสุธาธาร

ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา

แม้นเนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ

พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา

แม้เป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา

เชยผกาโกสุมปทุมทอง”

คำร้อง : จากวรรณคดีเรื่อง “พระอภัยมณี” ของ “สุนทรภู่”

ทำนอง : สุรพล แสงเอก ผู้ขับร้อง : ชรินทร์ นันทนาคร

 

“ในช่วงนั้น ผมอายุประมาณคุณ บวกลบคงไม่ห่างมากน้อย วัยที่ความรักมันโลดเถลิง วัยที่พลังของคนหนุ่มมากพอจะเปลี่ยนโลกได้ เห็นอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด”

“ความรักโลดเถลิง” ชายหนุ่มทวนคำตามคำกล่าวของหลวงบุเรศรฯ

“ตอนนั้น คนรุ่นผมเขารักแต่จะนั่งอยู่ในกรม นั่งตามโต๊ะ คอยทำตามผู้ใหญ่ ผู้บังคับบัญชา ผมสิกลับมาจากนอก ไม่มีก๊กมีพวกกับเขา ก็เลยคิดว่าออกไปอยู่ตามป่าตามเขาน่าจะดีกว่า อยู่ในเมืองมันก็ปลาผิดน้ำ แถมจะดูเป็นจระเข้ขวางคลองเพิ่มขึ้นด้วย ก้าวหน้าคงยากอีกทั้งจะถอยหลัง คิดแล้วก็น้อยใจเอาการเหมือนกัน” หลวงบุเรศรฯ ถอนหายใจใหญ่ก่อนจะยกแก้วใส่น้ำสีอำพันขึ้นดื่ม

“นอกเรื่องอีกแล้ว ขอโทษทีคุณคงคิดว่าคนแก่นี่ไม่ได้การเอาเลย วกไปเวียนมา ไม่ใช่อะไรหรอกคุณ มันเจ็บแปลบนะ เจ็บแปลบมิรู้วาย จนชั้นจะเล่าให้คุณฟังอีกครั้งตอนนี้ แผลในใจมันก็ไม่ได้หายไปไหนเลย”

ชายหนุ่มรินเหล้าในขวดเติมลงในแก้วของหลวงบุเรศรฯ ก่อนจะเติมให้ตนเอง

“ผมก็ไม่ดีกว่าคุณพี่เท่าไรหรอกครับ” พอกล่าวออกมาได้ชายหนุ่มก็โล่งใจ “ที่ออกมาไกลถึงเพียงนี้ก็หมายจะรักษาแผลในใจนั่นล่ะเป็นที่ตั้ง”

“ผมรู้ มองตาคุณวันแรกที่เจอกัน ผมก็รู้แล้ว แววตายังกับนกปีกหักพรรค์นั้น” หลวงบุเรศรฯ ยิ้ม “อ้อ ขอบคุณที่เรียกผมว่าคุณพี่ เลิกเรียกท่านอะไรกันเสียที มาอยู่ในป่ายังมีชนชั้น วุ่นวายไปทำไมไม่รู้”

ชายหนุ่มยกมือไหว้เพื่อนอาวุโสหนึ่งครั้ง “ต้องขอบคุณคุณพี่มากจริงๆ ที่ฉุดไอ้คนใช้ไม่ได้คนนี้ให้ตั้งหลักอีกครั้ง”

 

“พอได้แล้วคุณ ถ้าขืนเรายังโอ้โลมกันอย่างนี้ คืนนี้คงเล่าไม่จบแน่” หลวงบุเรศรฯ หัวเราะเบาๆ ก่อนจะยกแก้วข้างหน้าเขาอีกครั้ง

“หมู่บ้านที่ผมไปแวะพักนั้น น่าจะมีอยู่ราวสามสิบถึงสี่สิบหลังคาเรือนได้ บ้านเป็นแบบชั้นเดียวแต่ทำใต้ถุนสูง หลังคาก็มีทั้งมุงจาก ใบตองตึงไปจนถึงสังกะสีตามฐานะ บริเวณใต้ถุนก็จะมีหูกทอผ้าสำหรับพวกผู้หญิงไว้ทอผ้าใช้กัน มีทั้งครกมองที่เอาไว้ตำข้าว บางบ้านก็เอาไว้ผูกวัว ผูกควาย คือใช้งานได้สารพัดประโยชน์ ว่าอย่างนั้นเถอะ บันไดก็มีตั้งแต่ไม้ไผ่ยันไม้จริง แต่ทั้งหมดนี้เป็นบันไดชั่วคราวนะ ตกดึกก็ยกบันไดขึ้นบ้านบ้าง พับบันไดเก็บบ้าง ไม่มีใครทอดบันไดไว้ข้ามคืนเลยสักบ้าน”

“ตอนแรกที่ผมไปถึงหมู่บ้านนั้น ชาวบ้านก็แตกตื่นเอาการ ตัวผู้ใหญ่บ้านแกอายุใกล้หกสิบแล้ว ใกล้จะปลดระวางเต็มที แต่แกก็มีน้ำใจออกมาต้อนรับขับสู้คนแปลกหน้าดีอยู่ ผมเอาบัตรประจำตัวข้าราชการให้แกดู ครานี้ยิ่งไปกันใหญ่ แกพินอบพิเทาผมราวกับต้อนรับพวกข้าหลวงเอาเลยทีเดียว สั่งคนฆ่าไก่ ฆ่าหมูมาทำอาหารเลี้ยงผม แม้ผมจะเอ่ยปากบอกแกว่าผมมาคนเดียวและคงพักสักวันเท่านั้น พอให้ร่างกายแข็งแรงก็จะเดินทางต่อ แกก็ไม่ยอม ยืนยันท่าเดียวว่าจะต้องเลี้ยงดูปูเสื่อผมไม่ให้บกพร่อง ผมจะปฏิเสธอีท่าไหนแกก็หายอมไม่จนต้องปล่อยเลยตามเลย”

มีเสียงประหลาดดังแทรกขึ้นมา เป็นเสียงคล้ายเสียงนก เสียงนั้นคล้ายดังเสียงคนแก่ตะโกนขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนหลวงบุเรศรฯ ต้องเว้นวรรคการเล่าเรื่องไว้ชั่วคราว

“นกแสกนะคุณ มันเย้าเราเล่น คงเพราะไม่เจอคนมานาน ผมเล่าถึงไหนแล้ว อ้อ ถึงตอนต้อนรับขับสู้ของคนที่นั่น”

 

“เรื่องกินไม่ใช่ปัญหาเลย ผมเป็นคนกินง่าย ขอให้มีเครื่องดื่มถูกใจเป็นพอ ทางผู้ใหญ่บ้านแกก็ใจดีเป็นที่หนึ่ง สั่งลูกบ้านเอาของดีที่ทั้งหมักทั้งต้มไว้มาให้ดื่ม ของหมักยังพอหวานได้ใจ แต่ของต้มนี่สิ เขาเอาข้าวโพดมาทำเป็นหลัก ต้มจนมันใสราวกับตาตั๊กแตน แต่ฤทธิ์ของมันนั้นแรงอย่าบอกใคร แค่ถ้วยน้อยๆ นี่จิบเข้าไปร้อนคอวูบไปถึงไหนต่อไหน และไอ้ตอนที่มันเข้าร่างเราเยอะๆ เข้าคนเพิ่งสร่างไข้อย่างผมก็เลยต้องขอตัวลา”

“อย่างที่บอก เรื่องกินนั้น ทางชาวบ้านและตัวผู้ใหญ่ตามใจผมเป็นอย่างดี แต่พอมาเรื่องอยู่นี่กลับมีปัญหาขึ้นได้ ปกตินั้น ผมไม่มีปัญหาเรื่องที่นอนเอาเลย ตรงไหนก็นอนได้ ยิ่งถ้ามากับรถจี๊ปคู่ใจแล้วละก็ ผมก็รวบหัวรวบหางใช้มันเป็นที่นอนในคราเดียวกัน เอาผ้าขาวม้าม้วนๆ หนุนหัว เอาเสื้อแจ๊กเก็ตคลุมตัว เปิดหน้าต่างรับลมเสียหน่อย ขี้คร้านจะหลับเพลินถึงเช้า คืนนั้นผมก็ตั้งใจจะทำเช่นนั้นเหมือนกัน แต่พอขอตัวลานะสิ เกิดเป็นเรื่องใหญ่เข้าได้”

“คือทุกคนที่นั่น ไม่มีใครยอมให้ผมกลับไปนอนในรถ ยืนกรานเป็นเสียงเดียวกันว่าถ้าผมจะนอน เขาก็จะเลิกวงแล้วไปนอนเป็นเพื่อนผม จะนอนบ้านใครบ้านไหนได้ทั้งนั้น ขอแต่ให้พวกเขาได้ดูแล เฝ้ายามระวังความปลอดภัยให้ผม”

“เรื่องนี้ยิ่งทำให้ผมประหลาดใจไม่ได้ หมู่บ้านนี้ดูแล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไรให้ต้องระแวดระวัง จะว่าเป็นหมู่บ้านคนจนก็ว่าได้ไม่เต็มปากเพราะยังมีของกินของใช้ที่มีราคาอยู่บ้าง แต่จะว่าเป็นหมู่บ้านคนรวยที่มีเงินมีทองจนโจรป่าโจรไพรมาให้ความสนใจก็น่าจะยาก ถ้าจะปล้นไปก็คงได้แต่วัว ควาย ซึ่งลักเอาตอนคนต้อนไปเลี้ยงตอนเช้าจะง่ายกว่ามาปล้นเอาตอนค่ำ”

“ผมชี้แจงว่าเคยนอนแบบนั้นไม่อยากรบกวนใครก็ไม่ยอมจนหวิดจะเกิดเรื่องกัน เพราะผู้ใหญ่บ้านบอกว่าถ้าผมยังยืนกรานจะนอนในรถก็จะไม่ต้อนรับละ ขอให้ขับรถออกไปเสียจากหมู่บ้าน ท่าทีพินอบพิเทาตอนแรกนั้นเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างไม่น่าเชื่อ จนในที่สุดผมก็ยกธงขาวยอมแพ้ เลือกเอาบ้านผู้ใหญ่นั่นแหละเป็นที่นอน”

“ไอ้ที่ประหลาดก็คือพอผมเอาเสื้อผ้าที่จำเป็นขึ้นบ้านผู้ใหญ่ แกก็รีบชักบันไดเก็บทันที ส่วนคนที่ร่วมวงดื่มกินกันใต้ถุนเมื่อครู่ก็หายตัวไปบ้านใครบ้านมันอย่างด่วน ทั้งคบไฟ ทั้งตะเกียงที่เคยสว่างดับมืดลงทันตาเห็น หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านกลายเป็นสีดำในพริบตา”

 

หลวงบุเรศรฯ พักการเล่าเรื่องอีกครั้ง เขาหันมาทางชายหนุ่ม “หิวไหมคุณ ยังมีเครื่องกระป๋องอยู่บนบ้านอีกมาก ถ้าหิวผมจะขึ้นไปเอามาให้”

ชายหนุ่มสั่นศีรษะ “ไม่เลยครับ ผมลองได้ไอ้พวกนี้แล้ว ท้องมันอิ่มตื้อ ไม่อยากอะไรเท่าไหร่ ถ้าคุณพี่หิว ผมขึ้นไปเอาลงมาให้ได้”

“ไม่ต้องหรอก ผมนี่ก็เหมือนกัน พออายุมากขึ้นก็กินน้อยลง นอนน้อยลง เห็นมีแต่พูดเท่านั้นที่ยังคงเดิม” หลวงบุเรศรฯ หัวเราะอีก “มวนยาสูบให้ผมสักมวนเถอะ ขอผมพักสักนิดก่อนจะเข้าถึงตอนสำคัญ”

ชายหนุ่มมวนยาสูบเข้ากับใบตองกล้วยให้หลวงบุเรศรฯ และตนเอง ทั้งคู่ระบายควันออกจากปอดเป็นทางยาวก่อนควันสีขาวนั้นจะหายไปกับความมืด

“ตอนแรกผมคิดว่ารุ่งสางมาก็จะขอเดินทางต่อละ ไอ้เรื่องประหลาดๆ ไม่ชอบมาพากลแบบนี้ผมไม่สันทัดนัก แต่พอมีแสงสว่าง ความคิดแจ่มใส ความกระหายใคร่รู้ของคนมันก็ออกฤทธิ์ จะหนีหายไปแบบนี้มันค้างคาใจพิกล อย่างที่บอกตอนนั้นผมก็ยังเป็นคนหนุ่ม ชีวิตก็ผ่านมามาก ข้ามน้ำข้ามทะเลไปก็หลายที่ เรื่องแบบนี้มันก็ชวนให้ตื่นเต้นดีเหมือนกัน ผมก็เลยบอกกับผู้ใหญ่บ้านแกว่าผมยังรู้สึกเพลียๆ ขอพักต่ออีกวัน แกก็ไม่ว่าอะไรแถมยินดีเสียอีกที่จะมีเพื่อนดื่มเป็นข้าราชการ ขอแต่ให้กินอยู่ตามแกขอเท่านั้นก็แล้วกัน”

“คืนที่สองก็เป็นแบบคืนแรก เหล้ายาปลาปิ้งสารพัดอาหาร ทั้งหมูป่าย่างจนหนังกรอบ ต้มยำไก่บ้าน ปลานึ่งในกระบอกไม้ไผ่ ของพวกนี้กินกับข้าวนึ่งหรือข้าวเหนียวร้อนเพลินนัก ยิ่งได้เครื่องดื่มที่ว่าใสเป็นตาตั๊กแตนยิ่งออกรส ทุกคนคุยกันสนุกปาก สนุกคอ มีแต่ผมที่ระวังตัวไม่ดื่มมากเพราะมีแผนการอยู่ จนเที่ยงคืนผมก็ขอตัวขึ้นนอน และก็เช่นคืนก่อน พอตาผู้ใหญ่แกชักบันไดขึ้นเรือน ลูกบ้านทุกคนก็หายตัวไปตามบ้านใครบ้านมันในพริบตา”

“คืนนั้นผมเข้านอนตรงที่เดิมก็ตรงระเบียงบ้านนั่นแหละ แต่คราที่วันนี้ไม่ได้ตรากตรำกับการเดินทาง ผมจึงสดชื่นกว่าคืนก่อน ผมแอบตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตีสอง กะว่าตอนนั้นทุกคนน่าจะหลับสนิทดี ส่วนนาฬิกาผมหรี่เสียงให้เบาแล้วเอาแนบหูไว้ พอนาฬิกาส่งเสียงผมก็กดปิดเสียง เอาตัวออกจากผ้าห่ม สังเกตไปรอบๆ ตาผู้ใหญ่ที่นอนข้างๆ ผมแกหลับสนิทเป็นตาย ผมเห็นว่าเข้าแผนก็แอบชักบันไดลงย่องลงมาที่พื้นล่าง พอเท้าแตะพื้นก็จุดบุหรี่ขึ้นสูบให้โล่งอกเสียหน่อย พอพ่นควันบุหรี่เสร็จก็มองไปรอบอีกที ทุกอย่างในหมู่บ้านนั้นเงียบสงบจริง”

“เว้นเพียงแต่ว่าใต้ถุนบ้านที่ผมเพิ่งลงมานั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังทอผ้าอยู่ในความมืด เสียงทอผ้าของเธอประสานเป็นจังหวะราวกับเธอกำลังบรรเลงบทเพลงพิเศษฉะนั้น”