ขอแสดงความนับถือ/ฉบับประจำวันที่ 7-13 สิงหาคม 2563

ขอแสดงความนับถือ

 

คอลัมน์กาแฟดำ โดยสุทธิชัย หยุ่น

คุยกับรัฐมนตรี “ข้ามเพศ” (transgender) คนแรกและคนเดียวของไต้หวัน

ออเดรย์ ถัง (Audrey Tang) รัฐมนตรีดิจิตอล (Digital Minister) ในวัยเพียง 35 ปี

เป็นสัปดาห์ที่สอง

เขาหรือเธอ มีส่วนสำคัญในการใช้เทคโนโลยีและสูตร รวดเร็ว เป็นธรรม และสนุก (Fast, Fair and Fun)

เพื่อให้ประชาชนทั้งเกาะร่วมมือกับทางการแก้ไขปัญหาโควิด-19 อย่างได้ผล อย่างน่าประทับใจ

โดยเน้นความเป็นประชาธิปไตยที่มากับเทคโนโลยี

ใช้เทคโนโลยีผลักดันให้เกิดความโปร่งใสในการบริหารของรัฐบาล

เปิดให้ประชาชนมีส่วนสำคัญในการร่วมกำหนดนโยบายระดับชาติผ่านเทคโนโลยี

 

สัปดาห์ที่แล้ว ออเดรย์ ถัง เล่าเรื่องเจ้าหน้าที่คอลเซ็นเตอร์ โทร. 1922 แจ้งไปยังซีดีซี (ศูนย์ควบคุมโรค)

มีเด็กผู้ชายโทร.มาบอกว่าไม่อยากไปโรงเรียน กลัวเพื่อนจะหัวเราะ

เพราะเขามีแต่หน้ากากอนามัยสีชมพู อาจโดนแกล้ง

วันถัดมาทุกคนที่ซีดีซี รวมไปจนถึงรัฐมนตรีสาธารณสุข

เริ่มใส่หน้ากากอนามัยสีชมพู…

กลายเป็นกระแส Fast, Fair and Fun ที่นอกจากแก้ปัญหาของเด็กนักเรียนคนนั้นแล้ว

ยังสามารถทำให้เรื่องหน้ากากกลายเป็นเรื่องของทุกคน

ไม่ใช่เรื่องน่าอาย หรือเป็นประเด็นที่ถูกนำไปกลั่นแกล้ง

แต่ที่สำคัญ กระแสนี้กระจายต่อให้สังคมโดยรวมได้

โดยใช้เวลาแค่ 24 ชั่วโมงเท่านั้น

และได้ผล

 

สัปดาห์นี้ ออเดรย์ ถัง

ย้ำกับสุทธิชัย หยุ่น อีกครั้ง

สูตร Fast, Fair, Fun

จะประสบความสำเร็จ ต้องไม่ลืมคือ “ความสนุก”

ต้องใช้อารมณ์ขันเข้าปะทะกับความเครียดของการแพร่ระบาดของโรค

มิใช่วนเวียนอยู่กับกฎเหล็กหนักๆ เข้มๆ อย่าง พ.ร.บ.ฉุกเฉิน (อันนี้ ออเดรย์ ถัง ไม่ได้พูด แต่ บ.ก.มติชนสุดสัปดาห์ เสริม-ฮา)

และคนที่ใช้อารมณ์ขันอธิบายปัญหาและปัดเป่าข่าวลือข่าวปล่อยทั้งหลาย

คือคนระดับสูงในรัฐบาลนั่นเอง

 

ออเดรย์ ถัง เล่าว่า ตอนแรกๆ ที่ไวรัสโควิด-19 ระบาด คนไต้หวันแห่ตุนกระดาษทิชชู่

เพราะมีข่าวลือว่า รัฐบาลจะเพิ่มการผลิตหน้ากากอนามัยจากไม่ถึง 2 ล้านชิ้นต่อวัน

เป็น 20 ล้านชิ้นต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 10 เท่า

โดยใช้วัสดุเดียวกับกระดาษทิชชู่

จะทำให้ไม่มีทิชชู่ใช้อีกไม่นาน

แน่นอนว่ามันไม่จริง

แต่คนที่เชื่อทฤษฎีสมคบคิดก็แห่ออกไปซื้อกระดาษทิชชู่จนขาดตลาด

และข่าวลือนี้แพร่หนักขึ้นเรื่อยๆ จนรัฐบาลต้องทำอะไรบางอย่าง

ปรากฏภายในหนึ่งชั่วโมงนั้น

คนไต้หวันก็ได้เห็นนายกรัฐมนตรีเป็นพรีเซ็นเตอร์

ภายใต้คอนเซ็ปต์ Fast, Fair and Fun

ปรากฏว่าลดกระแสตื่นตระหนก และหยุดการวิ่งไปตุนกระดาษทิชชู่ได้ภายใน 2 วัน!

 

ทีเด็ดคืออะไร พลิกไปอ่านคอลัมน์กาแฟดำ ที่หน้า 105

ซึ่งออเดรย์ ถัง ย้ำว่า นั่นไม่ใช่เพียงแค่เทคโนโลยี

(แต่) “คุณจะต้องมีทีมงานที่สร้างสรรค์ด้วย ทีมงานสร้างสรรค์ที่เมื่อเห็นว่ามีข่าวปลอมและข่าวลือแล้วจะแก้อย่างไร…”

แน่นอน ไม่ใช่ใช้ไม้กระบองไปไล่ทุบคนตุนทิชชู่

แต่เป็นการนำความจริงที่มีอารมณ์ขัน เข้ากับกระแสยุคดิจิตอล ไปบอกและกระตุกความรู้สึกประชาชน ให้มีสติมากขึ้น

 

มาถึงตรงนี้ ทำให้เราอาจต้องมองปรากฏการณ์แฮมทาโร่ ปรากฏการณ์พ่อมด-แม่มดแฮร์รี่ พอตเตอร์

ของเยาวชนไทยด้วยมุมมองใหม่ๆ

เปิดกว้าง

ที่สำคัญ ไม่ได้มองอย่างเข้าใจเท่านั้น

ยังต้องเอ็นดู มีอารมณ์ขัน

พยายามรู้สึกร่วมสมัย จะได้ลดความรู้สึกว่าเยาวชนเหล่านี้ “ชังชาติ”

ไม่รู้ว่า คนที่ถูก “โคลน” ไปเดินร่ายเวทมนตร์ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ร่วมกับเหล่ามุ้งมิ้ง-มุ้งมิ้ง

รู้สึกขันด้วยหรือไม่

ไม่รู้ๆๆๆ (ฮา)