ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 31 กรกฎาคม - 6 สิงหาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ |
ผู้เขียน | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ |
เผยแพร่ |
เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เรามีโอกาสได้ไปชมนิทรรศการศิลปะที่น่าสนใจ เลยถือโอกาสเอามาเล่าสู่ให้อ่านกันตามเคย นิทรรศการนั้นมีชื่อว่า
The Longest Way Round is the Shortest Way Home
โดย นนทวัฒน์ นำเบญจพล นักทำหนังชาวไทยที่ปกติเราจะคุ้นเคยกับเขาจากผลงานหนังสารคดีกลิ่นอายแปลกใหม่
อย่าง “ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง” ที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตผู้คนในพื้นที่พิพาทระหว่างชายแดนไทย-เขมร
และ “สายน้ำติดเชื้อ” ที่นำเสนอประเด็นเกี่ยวกับชาวบ้านคลิตี้ล่าง หมู่บ้านกะเหรี่ยงเล็กๆ ใน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ที่ได้รับผลกระทบจากแหล่งน้ำปนเปื้อนสารตะกั่วที่ลักลอบปล่อยโดยอุตสาหกรรมเหมืองแร่
และ “#BKKY” สารคดีผสมเรื่องแต่ง ที่สำรวจชีวิตและความใฝ่ฝันของวัยรุ่นในกรุงเทพฯ
รวมถึงผลงานล่าสุด “ดินไร้แดน” สารคดีที่สำรวจชีวิตของวัยรุ่นที่อาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณรัฐกันชนระหว่างภาคเหนือของไทยและพม่า ซึ่งเคยเป็นดินแดนของผู้อพยพชาวไทใหญ่และชนกลุ่มน้อยผู้ลี้ภัยสงคราม
ในนิทรรศการแสดงเดี่ยวครั้งแรกนี้ นนทวัฒน์นำเสนอผลงานที่มุ่งเน้นในการสำรวจชีวิตของแรงงานชาวไทใหญ่ในเชียงใหม่ จากการสังเกตการณ์และการวิจัยในพื้นที่ภายในประเทศเมียนมา ด้วยการติดตามการเดินทางของเด็กหนุ่มชาวไทใหญ่คนหนึ่ง ในระหว่างที่เขากลับสู่หมู่บ้านในรัฐฉาน เพื่อเยี่ยมเยียนครอบครัวหลังจากที่ไม่ได้กลับไปเป็นเวลา 6 ปี และการทำเอกสารประจำตัวประชาชนอันจำเป็นอย่างยิ่งของเขา
ผลงานชิ้นนี้ของนนทวัฒน์สะท้อนความไม่มั่นคงของชีวิตผู้อพยพย้ายถิ่น ที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากจากการไม่มีเอกสารระบุตัวตนจากทางราชการ และกระบวนการข้ามเขตแดนอันยุ่งยาก โดยเฉพาะระหว่างเมียนมาสู่ประเทศไทย ที่บังคับให้พวกเขาต้องเลือกระหว่างสิทธิเสรีภาพอันจำกัดในต่างแดน หรือการหวนคืนบ้านเกิดอันยากไร้
“งานชุดนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2016 ที่ผมเริ่มสนใจพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ เพราะแต่ก่อนผมเคยไปแต่พื้นที่ชายแดนอีสานและเขมร แต่ผมไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับพื้นที่ชายแดนภาคเหนือเลย ผมเลยอยากสำรวจว่าที่นั่นเป็นอย่างไร
บังเอิญโชคดีที่ผมได้เข้าไปในพื้นที่รัฐกันชนระหว่างภาคเหนือของไทยและพม่าตอนทำสารคดีเรื่อง “ดินไร้แดน” เลยได้รู้ว่าที่นั่นมีชาวไทใหญ่อาศัยอยู่เยอะมาก คือตอนไปเที่ยวเชียงใหม่หรือไปภาคเหนือหลายๆ ครั้ง ผมไม่เคยสังเกตว่ามีชาวไทใหญ่อยู่ร่วมกับคนไทยเลย แต่พอเริ่มทำสารคดีเรื่องนี้ หันไปที่ไหนก็เจอชาวไทใหญ่ ไปเชียงใหม่นั่งร้านอาหาร คนเสิร์ฟอาหารก็เป็นชาวไทใหญ่ คนงานก่อสร้าง คนสวนก็เป็นชาวไทใหญ่ ผมเลยรู้สึกอยากรู้ว่าทำไมเขาถึงมาอยู่เชียงใหม่กันเยอะขนาดนี้
หลังจากนั้นผมมีโอกาสได้เข้าไปสำรวจในพื้นที่ที่เขาฝึกทหารของกองทัพกู้ชาติแห่งรัฐฉาน ได้พูดคุยกับวัยรุ่นชาวไทใหญ่หลายคน และพบว่าพวกเขาเองไม่อยากเป็นทหาร แต่ต้องเป็นเพราะความจำเป็น เพราะเขาเป็นผู้อพยพที่ไม่มีที่ไป ไม่มีเงิน
อย่างตอนเราทำ #BKKY เราถามถึงความฝันของวัยรุ่นกรุงเทพฯ เขาก็อยากเป็นโน่นเป็นนี่กันเต็มไปหมด แต่พอถามถึงความฝันของวัยรุ่นไทใหญ่คือ เขาอยากไปอยู่เชียงใหม่เพื่อจะได้มีโอกาสมีความฝันแบบคนปกติบ้าง
พอผมไปสำรวจที่เชียงใหม่ก็พบว่าสถานการณ์ของชาวไทใหญ่ในเชียงใหม่นั้นค่อนข้างละเอียดอ่อน เพราะชาวไทใหญ่ที่มาหางานทำที่เชียงใหม่ส่วนใหญ่เป็นคนไร้สัญชาติ ไม่มีบัตรประชาชน ทำให้เราไม่สามารถถ่ายทำเรื่องของพวกเขาเป็นสารคดีออกมาได้ เลยตัดสินใจทำออกมาเป็นเรื่องแต่งในหนังชื่อ Doi Boy แทน
หลังจากทำสารคดีและหนังเรื่องที่ว่าเสร็จ ผมก็มีโอกาสได้เข้ามาคุยกับทางแกลเลอรี่เวอร์ ว่าอยากทำงานที่ต่อยอดจากประเด็นในสารคดีเรื่องนี้ เพราะมีข้อมูลที่ค้นคว้ามาเยอะมาก ก็เลยตั้งใจว่าจะทำออกมาในสื่อหลายๆ แบบ อย่างผลงานในนิทรรศการนี้
ผมคัดเลือกหนุ่ม-สาวชาวไทใหญ่ช่วงอายุประมาณ 18-25 ปี ราวๆ 30 คน ที่ข้ามแดนมาพำนักอาศัยที่เชียงใหม่มาสัมภาษณ์ และคัดเลือกจนเหลือหนึ่งคนเพื่อมาทำเป็นสารคดี ก็คือต๊ะ (จายจันทร์ต๊ะ) เด็กหนุ่มชาวไทใหญ่ที่เข้ามาอยู่เชียงใหม่เป็นเวลา 6 ปีโดยไม่ได้กลับบ้านเลย
ผมเสนอเขาว่าจะออกเงินค่าเดินทางกลับบ้านให้ แต่ขอตามเขาไปถ่ายทำสารคดีด้วย ก็ออกมาเป็นเหมือนโร้ดมูฟวี่ที่ติดตามเขากลับบ้านไปหาครอบครัว และทำบัตรประชาชนพม่า”
นนทวัฒน์กล่าวถึงที่มาที่ไปของนิทรรศการครั้งนี้
สิ่งที่น่าสนใจอย่างมากก็คือ สารคดีโร้ดมูฟวี่ของนนทวัฒน์เรื่องนี้ไม่ได้ฉายบนจอแบบที่เราดูกันตามปกติในโรงหนัง หากแต่ถูกนำเสนอในรูปแบบของวิดีโอจัดวางที่ฉายภาพเคลื่อนไหวบนจอผ้าใบขึงไม้ไผ่คล้ายกับจอหนังกลางแปลง จำนวน 4 จอ ล้อมรอบผู้ชมในห้องแสดงงานของแกลเลอรี่เวอร์
โดยในแต่ละจอฉายภาพเหตุการณ์จากมุมมองที่แตกต่างกัน สร้างมิติในการดูหนังอันแปลกใหม่ที่ทำให้ผู้ชมอย่างเรารู้สึกราวกับได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยจริงๆ
“ปกติเวลาดูหนังคนดูจะเคยชินกับการถูกบังคับให้จดจ่อกับจอหนังจอเดียว แต่พอมาอยู่ในพื้นที่หอศิลป์ก็เหมือนกับเราได้ทดลองเล่นสนุกกับคนดูมากกว่าการฉายแค่จอเดียว แต่ให้คนได้ดูหนังจาก 4 จอไปพร้อมๆ กัน โดยที่เรื่องราวในแต่ละจอดำเนินไปพร้อมๆ กันจากแต่ละมุมมอง คนดูก็จะสามารถเลือกได้ว่าอยากดูมุมไหน”
นอกจากหนังสารคดี 4 จอแล้ว ผลงานชุด The Longest Way Round is the Shortest Way Home ยังถูกนำเสนอในรูปภาพถ่ายสื่อผสม รวมถึงวิดีโอจัดวางในชื่อ Casting call จัดแสดงในห้องแสดงงาน โปรเจ็กต์รูม แกลเลอรี่เวอร์ ที่นำเสนอความรู้สึกนึกคิดและความใฝ่ฝันของแรงงานข้ามชาติหนุ่มสาวชาวไทใหญ่ที่นนทวัฒน์สัมภาษณ์มาโดยไม่แสดงหน้าตาของพวกเขา มีแต่เสียงพูดและคำบรรยาย
ขับเน้นให้ผู้ชมอย่างเรารับรู้ถึงสถานภาพอันไร้ตัวตนในสังคมของพวกเขา
นอกจากนี้ ผลงานชุดนี้ยังถูกทำออกมาในรูปแบบของหนังสือ in process of time ที่บันทึกกระบวนการวิจัยเพื่อค้นคว้าข้อมูลสำหรับบทภาพยนตร์ของนนทวัฒน์ในรูปของภาพถ่ายสารคดี ตั้งแต่ปี 2016-2020 โดยเชิญนักเขียน นักวิชาการ และศิลปินที่เข้าใจบริบทและประเด็นเกี่ยวกับการพลัดถิ่น ประวัติศาสตร์ สังคม การเมือง และวัฒนธรรม มาร่วมหาคำตอบผ่านบทความในหนังสือเล่มนี้ โดยเปิดตัวพร้อมกับภาพถ่ายและประติมากรรมจัดวาง ที่ daily delay
“ผมสนใจใน Microhistory (ประวัติศาสตร์ส่วนบุคคลของคนตัวเล็กตัวน้อย) เพราะมันเป็นสิ่งที่สะท้อนภาพใหญ่ๆ ของสังคม อย่างที่บอกว่าจุดเริ่มต้นมาจากความอยากรู้ของผม ที่ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้ถึงการมีอยู่ของคนเหล่านี้มาก่อน ผมอยากสื่อสารให้คนดูได้รู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขา ได้รู้ว่าพวกเขามีตัวตน มีพื้นเพ มีที่มาที่ไป พวกเขามาอยู่ที่นี่เพราะอะไร และพวกเราสามารถอยู่ร่วมกันกับเขาได้อย่างไร”
นิทรรศการครั้งนี้เป็นการร่วมงานระหว่างนนทวัฒน์ และลอรีดาน่า พาซซินี่-พาราคเซียนี่ ภัณฑารักษ์อิสระผู้มีความสนใจในประเด็นเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยและกลุ่มชาติพันธุ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เธอกล่าวถึงแนวคิดเบื้องหลังผลงานครั้งนี้ว่า
“เมื่อเราต้องการทำความเข้าใจกับผู้คนต่างๆ นอกจากการทำความเข้าใจกับภาษาของพวกเขาแล้ว ภาพที่เราเห็นก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ บางครั้งภาพสามารถพูดแทนถ้อยคำโดยไม่ต้องมีคำบรรยาย เราสามารถทำความเข้าใจผ่านดวงตาของเรา ในฐานะคนทำหนัง ฉันคิดว่านนทวัฒน์เข้าใจเรื่องเหล่านี้ และนำเสนอออกมาได้อย่างชาญฉลาด ยิ่งทำงานนานเข้า ฉันยิ่งตระหนักมากว่าศิลปะมีพลังอันมหาศาลในการสื่อสารแง่มุมสำคัญของชีวิต รวมถึงสังคม และวัฒนธรรมของมนุษย์ ฉันคิดว่าศิลปะ, มานุษยวิทยา และชาติพันธุ์วรรณนา (มานุษยวิทยาเกี่ยวกับการศึกษาวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ต่างๆ) นั้นมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออกในโลกศิลปะร่วมสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้างานศิลปะนั้นมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับสังคม”
นิทรรศการ The Longest Way Round is the Shortest Way Home และ Casting call โดยนนทวัฒน์ นำเบญจพล จัดแสดงที่แกลเลอรี่เวอร์ และโปรเจ็กต์รูม ซอยนราธิวาส 22 ตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม – 22 สิงหาคม 2560
สอบถามข้อมูลได้ที่ galleryver@gmail.com และเบอร์โทรศัพท์ 08-9988-5890, สำหรับหนังสือ in process of time เปิดตัวและวางจำหน่ายที่ daily delay ซอยนราธิวาส 24 สอบถามข้อมูลได้ที่ dailydelay2020@gmail.com
ขอบคุณภาพและข้อมูลจากแกลเลอรี่เวอร์ (ภาพถ่าย : ปรีชา ภัทรอัมพรชัย), daily delay