ลับสุดยอด “มุมแดง”

การตัดสินใจปกปิดมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 เมษายน ที่อนุมัติให้กองทัพเรือจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีน ในล็อตแรก 1 ลำ

ด้วยชั้นเอกสาร “ลับมาก-มุมแดง” นั้น

ไม่รู้ว่าเป็นการตัดสินใจถูกต้องหรือไม่

เพราะเอาเข้าจริง ก็ปิดไม่อยู่

ที่สุด พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ต้องออกมาแถลงยอมรับเมื่อวันที่ 24 เมษายน ว่า ครม. อนุมัติโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ ตามที่กองทัพเรือเสนอไปแล้ว

โดยจัดซื้อเรือดำน้ำหยวนคลาส เอส 26 ที (Yuan Class S26T) จากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 1 ลำ วงเงิน 13,500 ล้านบาท

พร้อมกับยืนยันว่าไม่มีอะไรเป็นลับลมคมใน

“ที่โฆษกไม่ได้แถลงข่าว เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นเอกสารลับที่สุดหรือมุมแดง และเป็นโหมดงานด้านความมั่นคง จึงไม่จำเป็นต้องแถลง” พล.ท.สรรเสริญอ้าง

ว่าที่จริง โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ ไม่ใช่โครงการปิดลับ

หากแต่เป็นประเด็นสาธารณะที่รับรู้กันโดยทั่วไปในสังคม

และส่วนใหญ่ก็รับรู้ไปในทำนองเดียวกันว่า รัฐบาลและกระทรวงกลาโหมเดินหน้าจัดซื้อแน่

เพียงแต่รอว่าจะเป็นเมื่อใดเท่านั้น

ซึ่งหากอธิบายดีๆ โดยเปิดเผยและโปร่งใสอย่างที่ว่า

เชื่อว่าคงจะไม่มีใครขัดรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้

แต่ก็น่าเสียดาย ที่รัฐบาล คสช. รวมถึงกระทรวงกลาโหม ทิ้งนาทีทองไปเสีย

แถมยังหันไปเอาปกเอกสารลับที่สุด หรือมุมแดง มาปกปิดเรื่องเอาไว้ด้วย

แต่ก็ไม่สามารถปิดเรื่องเอาไว้ได้

ทำให้เรื่องเรือดำน้ำ เพิ่มความคลุมเครืออย่างที่ไม่ควรจะเป็น

ทั้งที่หากแถลงเปิดเผยอย่างที่ พล.อ.ประวิตร ชี้แจง (หลังปกปิดเรื่องเอาไว้ไม่ได้แล้ว) ก็พอฟังได้

โดย “บิ๊กป้อม” บอกว่า การซื้อเรือดำน้ำจะซื้อทีละลำ เพราะกว่าจะได้ลำหนึ่งใช้เวลา 5-6 ปี จึงได้มีการวางแผนระยะยาว โครงการนี้จะใช้เวลาทั้งหมด 11 ปี กว่าจะได้ทั้งหมด 3 ลำ

ยืนยันว่าทุกอย่างดำเนินการตามขั้นตอน

ไม่มีอะไรที่น่าสงสัย

การจัดซื้อจัดหาทำโดยโปร่งใส ในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล (จีทูจี) โดยตรง

สาเหตุที่กองทัพเรือเลือกซื้อจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเนื่องจากราคาถูกมาก เมื่อเทียบกับ 9 ประเทศ ทุกประเทศแพงกว่าทั้งหมด

นอกจากมีราคาแพงแล้วยังไม่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ และเครื่องมือต่างๆ ติดมาด้วย

ส่วนเรือดำน้ำจีน สามารถดำน้ำได้นานสูงสุด 21 วัน

พล.อ.ประวิตรสรุปว่า งบประมาณการจัดซื้อเรือดำน้ำครั้งนี้คือ 36,000 ล้านบาท ในจำนวน 3 ลำใช้เวลาทั้งหมด 11 ปี เป็นการทยอยจ่าย

“ถ้าเราตัดสินใจซื้อจากประเทศอื่นในราคาลำเดียวก็เท่ากับซื้อของจีนได้ถึง 2 ลำ แถมยังไม่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ติดมาด้วย คณะกรรมการจากกองทัพเรือ 20-30 คน พิจารณาอย่างรอบคอบ มีการเปรียบเทียบทั้งคุณภาพและราคาก่อนที่จะดำเนินการ ทำตามขั้นตอนทุกอย่าง และที่ซื้อก็ไม่ถือว่าเป็นราคาที่แพง มีประโยชน์มากในฝั่งทะเลอันดามัน ที่เราจะใช้ในระยะ 200 ไมล์ทะเล ที่เราไม่เคยเข้าไป ที่สำคัญต้องใช้เวลา 5-6 ปีกว่าจะได้เรือดำน้ำลำแรก ไม่ใช่ซื้อวันนี้ได้พรุ่งนี้” พล.อ.ประวิตรระบุ

เมื่อถูกจี้ถามว่าทำไมไม่แถลงข่าวโดยเปิดเผย

พล.อ.ประวิตรอ้างว่า “เพราะเอกสารนี้เป็นเอกสารลับ เขาไม่เปิดเผยกัน ทุกเรื่องที่เป็นเอกสารลับ ไม่ว่าจะเป็น ครม. ไหนก็เหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นเอกสารทางด้านยุทธศาสตร์ เรื่องยุทธวิธีเป็นเอกสารลับทั้งหมดอยู่แล้ว ทุกกระทรวง ทบวง กรม มีเอกสารลับทั้งหมด”

ซึ่งก็สอดคล้องกับ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ชี้แจงไปไกลว่า การประชุม ครม. มีวาระเพื่อพิจารณาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น 40 หรือ 70 เรื่อง จึงไม่สามารถแถลงข่าวทุกเรื่องได้ แต่จะหยิบยกเฉพาะวาระที่น่าสนใจมาแถลง และการประชุมเมื่อวันที่ 18 เมษายน ก็ไม่มีผู้สื่อข่าวถามเรื่องเรือดำน้ำ ประกอบกับกองทัพเรือและกระทรวงกลาโหมเจ้าของเรื่อง กำหนดให้วาระดังกล่าวอยู่ในชั้นความลับ หรือมุมแดง จึงไม่มีการแถลงข่าว อย่างไรก็ตาม การจัดซื้อเรือดำน้ำครั้งนี้ใช้งบประมาณกองทัพเรือผูกพันงบประมาณ 3-4 ปี ใช้เวลาหลายปีในการต่อเรือ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ต้องถามกองทัพเรือ

“เอกสารมุมแดง เมื่อเสนอให้ ครม. รับทราบแล้ว เจ้าของเรื่องก็จะเก็บเอกสารไป จึงไม่ได้นำมาแถลง แต่ไม่ได้มีอะไรปิดบัง ซ่อนเร้น งุบงิบแต่อย่างใด เพราะเรื่องลักษณะนี้ไม่ได้มีแค่เรือดำน้ำ แต่มีหลายเรื่องที่ลับ แต่ไม่ได้ลับตลอดไป เรื่องลับนี้เป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไปก็จะถูกเปิดเผย เช่น จะมีประกาศออกมา เรื่องเรือดำน้ำก็เช่นกัน แม้จะลับในเวลานี้ แต่วันหน้าก็จะไม่ลับ เพราะจะมีการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งเป็นแบบจีทูจี” พล.ท.สรรเสริญกล่าว

พล.ท.สรรเสริญย้ำว่า การจัดซื้อนี้จะต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ ดังนั้น จึงไม่ต้องกังวลว่ารัฐบาลจะหมกเม็ด เพราะทั้งหมดเป็นเงินภาษีของประชาชน ทุกอย่างเป็นไปเพื่อป้องกันและป้องปราบ ตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ ไม่ได้เพิ่งมาคิด

ฟังคำชี้แจงแล้ว ฟังขึ้นหรือไม่ หลายคนคงมีคำตอบ

และยิ่งหากรัฐบาลและกองทัพทำเป็นเรื่องเปิดเผยเสียแต่ต้น

ความกังขาก็คงจะไม่มากเท่านี้

โดยกังขาว่าการที่จงใจปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ เป็นเพราะกลัวกระแสวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะในประเด็นเปิดอย่างปัญหาเศรษฐกิจใช่หรือไม่

ต้องไม่ลืมว่า ก่อนหน้านี้มีการเรียกร้อง จากทั้งคนกันเองและคนภายนอก ให้มีการปรับคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ

ประกอบกับมีโพลที่ระบุเศรษฐกิจย่ำแย่ทำคะแนนนิยมของรัฐบาลลดลง

จึงควรให้ทีมของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และทีมเศรษฐกิจที่เป็นตัวแทนของกองทัพออกไป แล้วหาผู้ที่เหมาะสมมาทำหน้าที่แทน

แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธกระแสข่าวนี้ และยืนยันว่ายังไม่มีแนวคิดจะปรับ ครม.เศรษฐกิจ

แต่กระแสเศรษฐกิจกำลังย่ำแย่ก็ยังคงอยู่ ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ยังเดินหน้าจัดซื้ออาวุธ ทั้งรถถังก่อนหน้านี้ และยังจะมาซื้อเรือดำน้ำอีก

ซึ่งนั่นอาจทำให้รัฐบาลเลือกที่จะปิดบังเรื่องนี้เอาไว้เพื่อไม่ให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ขยายวงออกไป

แต่เอาเข้าจริงก็ช่วยไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้น ยังลามไปถึงประเด็นปิดอีกด้วย

โดยมีการโยงความคลุมเครือเรื่องเรือดำน้ำไปถึงบิ๊กในรัฐบาล

ทั้งนี้ มีสื่อบางสังกัด โหมกระหน่ำว่า บิ๊กในรัฐบาลบางคน กำลังเป็น “หลุมดำ” ของรัฐบาล

โดยวนเวียนอยู่ในข้อครหาต่างๆ นานา ไม่ว่าการซื้อเรือดำน้ำ ซื้อรถถังจากประเทศจีน ปัญหาบ่อนช่องตะกู ชายแดนไทย-เขมร

ซึ่งตรงนี้ ถูกจับโยงไปถึงการแสวงหา “ทุน” สำหรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น

ขณะเดียวกัน การทำงานก็พลาดในเรื่องมวลชน อย่างการออกกฎหมายควบคุมรถกระบะ อันเป็นผลให้ประชาชนพร้อมใจกัน “ก่น-ด่า” ทั้งประเทศ

ทำให้เกิดกระแสว่า นอกจากทีมเศรษฐกิจแล้ว อาจจะมี “การปรับรัฐมนตรี” ด้านความมั่นคงด้วย

แน่นอนย่อมหมายรวมถึง “บิ๊ก” ด้วย

ไม่มีการยืนยันว่า “บิ๊ก” ดังกล่าวเป็นใคร

แต่รัฐมนตรีหลายๆ คนก็ตกเป็นเป้าคำถามของนักข่าว

รวมถึง พล.อ.ประวิตรด้วย

แต่บิ๊กป้อมก็ปฏิเสธเสียงหนักแน่นถึงกระแสการปรับ ครม.ชุดใหม่ว่า “ยืนยันว่าไม่มี”

เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวว่าจะมีการปรับเปลี่ยนตัวรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงด้วย พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “โอ้โห ผมก็พร้อมนะ อยากจะให้ออก คุณจะได้หัวเราะกันอย่างสบาย ผมอยากบอกว่าคนนั่งเขียนข่าวก็นั่งเขียนอยู่ข้างใน อยากเขียนอะไรก็เขียน ก็ไม่ต้องรับผิดชอบ ผมขอถามหน่อยว่าคุณจะทำอย่างไรกับเรื่องพวกนี้ หากมันไม่เกิดขึ้น ไม่รับผิดชอบแล้วจะทำอย่างไร ผู้สื่อข่าวคนไหนก็ได้ตอบผมหน่อย”

เมื่อถามว่า น้อยใจหรือไม่ ที่มีกระแสข่าวตกเป็นเป้าตลอด พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ผมไม่น้อยใจ อายุผมเข้าไป 72 ปีแล้ว ผมพร้อมออก อายุขนาดนี้แล้วไม่มีใครทำงานขนาดนี้หรอก ถึงมีก็น้อยมาก ผมก็เสียสละทุกอย่าง”

นั่นคือความในใจของ พล.อ.ประวิตร

เป็น พล.อ.ประวิตร ที่แม้จะมีปกเอกสาร “ลับที่สุด” หรือ “มุมแดง” มาช่วยป้องกันในประเด็นเรือดำน้ำ

แต่ก็มาถูกฉีกทิ้งไปกลางคัน ทำให้ต้องมาคอยรำคาญใจตอบคำถามซอกแซกของนักข่าว ถึงประเด็น “ใต้น้ำ” อันอึมครึม

รวมถึงข่าวลือ ปรับคณะรัฐมนตรี ที่ไม่จางหายไปสักที!!