ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | วิกฤตความชอบธรรม : ฟางเส้นสุดท้ายของระบอบประยุทธ์

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

การชุมนุมของเยาวชนปลดแอกเปิดศักราชใหม่ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยหลังรัฐประหาร 19 กันยายน เพราะตั้งแต่ กปปส.ล้มเลือกตั้งเพื่อสร้างสถานการณ์ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งตัวเองเป็นนายกฯ ในปี 2557 ประเทศไทยไม่มีการชุมนุมที่คนร่วมกว้างขวางและต่อเนื่องแบบนี้มาแล้วกว่าหกปี

พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ เพราะรถถังและปืน ประชาชนจึงต่อต้านการปกครองของ พล.อ.ประยุทธ์ตั้งแต่วันแรกที่ยึดอำนาจสำเร็จ

แต่กฎอัยการศึกและรัฐธรรมนูญเผด็จการมาตรา 44 กลายเป็นกลไกกดการต่อต้านของประชาชนให้แค่รวมตัวประท้วง 3 คน ก็โดนทหารจับขึ้นศาลทหารแล้วยัดคดี

ไม่เคยมีวันไหนในระบอบประยุทธ์ที่เดินหน้าไปโดยปราศจากความเกลียดชังจากประชาชน แต่หกปีกว่าที่ผ่านมานั้น ความเกลียดชังถูกกดทับด้วยอำนาจรัฐอำมหิตที่ใช้กฎหมายและข้าราชการคุกคามคนเห็นต่างทุกรูปแบบ

ความไม่พอใจรัฐเผด็จการจึงสะสมเป็นพลังงานที่รอวันระเบิดตลอดเวลา

หกปีที่ผ่านมาคือหกปีแห่งการยึดประเทศเป็นอาณาจักรซึ่งเครือข่ายประยุทธ์เป็นใหญ่เพียงฝ่ายเดียว แต่เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ใช่และไม่เคยต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นเจ้าของแผ่นดิน

ระบอบประยุทธ์ทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง 2562 จึงเป็นระบอบที่ต้องกดขี่เพื่อควบคุมประชาชนไปตลอดเวลา

แฟลชม็อบอนาคตใหม่ปลายปี 2562 และแฟลชม็อบนักเรียนนักศึกษาต้นปี 2563 ปลดปล่อยความไม่พอใจระบอบประยุทธ์ออกมาเป็นการรวมตัวของประชาชนครั้งใหญ่ที่สุดในยุค คสช.

และแฟลชม็อบยุคเยาวชนปลดแอกก็ทำให้การต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์ยกระดับไปสู่จุดที่ไม่เคยเป็น

มีผู้รวบรวมว่าประเทศไทยในปี 2563 มีแฟลชม็อบก่อนและหลังเยาวชนปลดแอกราว 50 จังหวัด และถึงแม้แฟลชม็อบแต่ละครั้งจะมีผู้ร่วมกิจกรรมมากน้อยแตกต่างกันไป

พื้นที่และวัยของผู้ร่วมชุมนุมรอบล่าสุดชี้ว่าแฟลชม็อบเป็นเพียงส่วนยอดของคนที่คิดแบบเดียวกันอีกมากที่ไม่ได้มาชุมนุม

ขณะที่แฟลชม็อบต้นปี 2563 รวมตัวในมหาวิทยาลัยเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกรัฐบาลกลั่นแกล้งว่าผิด พ.ร.บ.ชุมนุม และระดมพลังผ่านเครือข่ายรุ่นพี่รุ่นน้องจนมีความเป็นกิจกรรมนักศึกษาแต่ละสถาบัน

แฟลชม็อบเยาวชนปลดแอกออกมานอกมหาวิทยาลัยมากขึ้นจนเป็นกิจกรรมนักศึกษาล้วนๆ น้อยลง

แฟลชม็อบช่วงต้นปีรวมพลังฝ่ายประชาธิปไตยโดยอาศัยสถาบันอุดมศึกษาเป็นแกนกลาง แต่แฟลชม็อบยุคเยาวชนปลดแอกเคลื่อนจากมหาวิทยาลัยมาสู่ท้องถนนและพื้นที่สาธารณะมากขึ้นเรื่อยๆ

จนเปิดกว้างให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ไม่เกี่ยวกับสถาบันการศึกษาไหนเลย

ถ้าแฟลชม็อบต้นปีสร้างพลังจากความเป็นนิสิตนักศึกษาซึ่งสังคมไทยถือเป็น “ปัญญาชน” หรือ “ชนชั้นนำ” แฟลชม็อบเยาวชนปลดแอกก็สร้างพลังโดยเชื่อมต่อนิสิต-นักศึกษากับประชาชน, นักเรียน และคนกลุ่มอื่น จนเยาวชนปลดแอกคือสัญลักษณ์ของความเคลื่อนไหวใหม่ในสังคม

ด้วยการทำให้แกนกลางของการชุมนุมหลุดจาก “นักเรียน-นักศึกษา” เป็น “เยาวชน” ซึ่งมีความหมายตั้งแต่เด็กมหาวิทยาลัย, เด็กอาชีวะ, เด็กแว้น, เด็กช่างกล, เด็กไม่เรียนต่อ, เด็กนอกระบบ, เด็กมัธยม ฯลฯ แฟลชม็อบรอบนี้กลายเป็นการเผยตัวของพลังใหม่ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยเจอมาเลย

ในโลกที่ทุกคนสื่อสารความคิดได้เต็มที่ในทวิตเตอร์, เฟซบุ๊ก ฯลฯ การชุมนุมของประชาชนในปี 2563 ไม่ได้เกิดจากการจัดตั้งจนไม่ต้องมีแกนนำหรือองค์กรนำก็ได้ เพราะพลังของโซเชียลมาจากการเสนอความคิดที่สอดคล้องกับความรู้สึกร่วมแห่งยุคสมัยจนถูกแชร์ผ่านเครือข่ายสังคม

การปกครองของ พล.อ.ประยุทธ์ทำให้คนมหาศาลเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์คือต้นตอของทุกปัญหาในประเทศ

หกปีของระบอบประยุทธ์คือหกปีที่ประเทศจมปลักกับความยากจน, ความล้าหลัง, การเสียโอกาส ฯลฯ จนความเกลียดประยุทธ์คือความรู้สึกร่วมสมัยของสังคมวันนี้ ต่อให้ไม่พูดมาตรงๆ

พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ที่สร้างความคับแค้นให้คนจำนวนมาก คนกลุ่มนี้มีโอกาสเป็นแกนนำในโลกออนไลน์จนไม่ต้องมีแกนนำในการชุมนุมจริงๆ

ระบอบประยุทธ์ทำให้ชีวิตที่ดีเป็นอภิสิทธิ์ของคนไม่กี่ตระกูล คนตกงานเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจ-10% จนถึงจุดที่ด่าประยุทธ์เรื่องไหนก็มีคนพร้อมเฮ

ในการปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์จากคำวิจารณ์ประชาชน ยุทธวิธีของลิ่วล้อในกองทัพ, ในพรรค และในสื่อคือการเอา พล.อ.ประยุทธ์ไปเกาะสถาบันหลักของชาติ วาทกรรมที่คนกลุ่มนี้สร้างคือชาติจะอยู่รอดถ้ามีนายกฯ ชื่อประยุทธ์ แต่ไม่เคยมีใครบอกได้เลยว่า พล.อ.ประยุทธ์ทำให้ชาติเจริญขึ้นอย่างไร

คุณค่าของ พล.อ.ประยุทธ์เกิดจากการเอา พล.อ.ประยุทธ์ไปเกาะเกี่ยวสถาบันหลักของชาติ และด้วยวิธีการปกป้องอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์แบบนี้

สิ่งที่ผู้สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับกับสังคมโดยไม่รู้ตัวคือ พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีคุณค่าหรือคุณงามความดีจนคู่ควรเป็นผู้นำประเทศโดยตัวเอง

การชุมนุมของเยาวชนปลดแอกคือ Platform หรือ “การเปิดพื้นที่” ให้คนนับล้านทั่วประเทศกล้าเปิดเผยว่าการต่อต้านนายกฯ เผด็จการเป็นเรื่องธรรมดา ที่ผ่านมานั้นคนเหล่านี้เผชิญประสบการณ์ทางเศรษฐกิจสังคมจนเห็นว่าประเทศถูกถ่วงความเจริญด้วย คสช.มานานแล้ว แต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมา

การชุมนุมยุคเยาวชนปลดแอกหลายครั้งมีผู้จัดคือเด็กมัธยมหรือนักศึกษาผู้หญิงเพียงคนเดียว คนจัดแฟลชม็อบที่มหาวิทยาลัยพะเยาคือเด็กอายุ 14 ขณะที่เชียงรายคือผู้หญิงธรรมดาเท่านั้น ความกล้าออกจากมหาวิทยาลัยของเยาวชนปลดแอกจุดประกายให้เกิดความกล้าของคนทั้งประเทศโดยตรง

กองหนุนประยุทธ์พยายามปกป้องประยุทธ์โดยโป้ปดมดเท็จว่าใครไม่เอาประยุทธ์คือภัยชาติเหมือนที่เคยทำกับคนเสื้อแดง

แต่พื้นฐานของแฟลชม็อบคือความไม่พอใจนายกฯ ซึ่งมีเรื่องให้ไม่พอใจเยอะจริงๆ ไม่ใช่เรื่องแบบที่ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ปั่นให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับประชาชน

รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์พยายามทำลายแฟลชม็อบโดยยัดข้อหาและคุกคามแกนนำ และยิ่งนานพฤติกรรมก็ยิ่งลงต่ำ มีการพาดพิงว่ามีการตามล่าเด็กมัธยมถึงโรงเรียน, แย่งกระเป๋าเด็กผู้หญิง, บุกโรงเรียนเตรียม, บุกถึงบ้าน ฯลฯ ซึ่งไม่เคยมียุคไหนทำแบบนี้ และยิ่งจะทำให้รัฐบาลยิ่งพัง

ในโลกที่มีการสะกดจิตตัวเองสั่งการให้ลูกน้องประจบสอพลอทำตาม แฟลชม็อบเกิดเพราะมีคนชักใยจนนักเรียนนักศึกษาเชื่อตามแบบคนโง่ไปหมด แต่ความจริงคือ “ความรู้สึกแห่งยุคสมัย” ที่ไม่จำเป็นต้องมีใครชี้นำอะไรเลย

หกปีของระบอบประยุทธ์ทำให้คนไม่พอใจ พล.อ.ประยุทธ์เพิ่มทุกวัน วิธีบริหารแบบรวบอำนาจทำให้ประชาชนเห็นว่าทุกปัญหาเชื่อมโยงกับ พล.อ.ประยุทธ์ทั้งสิ้น และโลกออนไลน์ก็ทำหน้าที่สะพานเชื่อมความรู้สึกนึกให้คนกลุ่มนี้ตระหนักว่าตัวเองคือคนส่วนใหญ่ในสังคม

ด้วยยุทธวิธีไล่ล่าที่รัฐบาลทำในปัจจุบัน สิ่งที่รัฐบาลจะเผชิญคือยิ่งยัดคดีหรือตามล่าเด็กมัธยม แรงต้านในโลกออนไลน์ก็จะลุกลามเป็นแฟลชม็อบไม่รู้จักจบสิ้น

เพราะพื้นฐานของแฟลชม็อบมาจากความเคลื่อนไหวทางความคิดโดยคนที่โตในยุคดิจิตอลซึ่งแค่ขยับนิ้วก็นัดระดมประชาชนได้ทันที

นักเรียนรัฐศาสตร์ทุกคนรู้ว่าอำนาจมาจากความยอมรับและกระบอกปืน แต่นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ใช้ปืนตั้งตัวเองเป็นใหญ่ ก็ล้มเหลวในการสร้างความยอมรับนับถือมาตลอดจนถึงจุดที่แทบไม่มีใครนับถืออีกเลย

สติปัญญาแบบผู้นำปัจจุบันทำให้คิดว่าความยอมรับเกิดจากการล้างสมอง, การโฆษณาชวนเชื่อ, การให้ข้อมูลด้านเดียว และการปิดปากประชาชน แต่งบประมาณมหาศาลในการแต่งเพลงและโฆษณาค่านิยม 12 ประการพิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถสร้างความเชื่อถือได้เลย

ด้วยภาพเด็กมัธยมวิ่งร้องเพลงแฮมทาโร่รอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยพร้อมตะโกนว่ายุบสภา

ด้วยภาพของกลุ่มคนรักเพศเดียวกันที่ตะโกนใส่ตุ๊กตารูปนายกฯ

ความยอมรับนับถือที่คนรุ่นใหม่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ได้สูญสิ้นไปแล้ว เช่นเดียวกับความเกรงกลัวอำนาจจากกระบอกปืน

ไม่มียุคสมัยไหนที่การพังทลายของความชอบธรรมทางการเมืองกำลังทำให้ผู้มีอำนาจเข้าใกล้วันอวสานที่ยังไม่มีคาดคิดฉากสุดท้ายอย่างสิ่งที่กำลังเกิดในยุคปัจจุบัน