แนวรบด้านบูรพาพยัคฆ์ 3 ป. ยังไม่เปลี่ยนแปลง? / ฉบับประจำวันที่ 31 ก.ค.- 6 ส.ค. 2563

3ป.แห่งบูรพาพยัคฆ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาโชว์ความแนบแน่นผ่านคำพูดของพล.อ.อนุพงษ์
“ส่วนตัวหากใครที่ทราบประวัติความสัมพันธ์ระหว่างผมกับนายกรัฐมนตรีที่อยู่ด้วยกันมานาน มีความผูกพันกัน อยู่บ้านหลังเดียวกัน กินข้าวหม้อเดียวกันเป็น 10 ปี”
“หากนายกรัฐมนตรีเห็นความจำเป็นว่าจะให้บุคคลใดเข้าหรือออกในการปรับคณะรัฐมนตรี รวมถึงผมด้วย เพราะนายกรัฐมนตรีต้องแบกรับการทำงานของรัฐบาล ที่ต้องรับผิดชอบต่อประเทศชาติ รวมถึงต้องแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น หากปรับเอาคนที่มีความสามารถมาทำงานก็เป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี”
“ส่วน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นทั้งผู้บังคับบัญชา และผมเคารพเหมือนพี่ชาย ถ้ามาทำหน้าที่แทน ก็ไม่เป็นปัญหา และผมเองไม่ติดใจ และจะสบายใจ ขอให้นายกรัฐมนตรีบริหารประเทศได้”
ซึ่งก่อนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ก็กล่าวในทำนองเดียวกัน
โดยบอกว่าที่มีการเสนอตามหน้าข่าวต่างๆ ว่า 3 ป.แตกกัน ก็ต้องถามว่าใครเป็นคนเขียนข่าว
“เรื่องนี้ขอให้ฟังผมก็แล้วกัน”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่ากระแสตีให้ 3 ป.แตกกันเป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวพร้อมส่ายศีรษะ
“เป็นไปไม่ได้”

การเปิดใจ 2 ใน 3 ป.นี้
เกิดขึ้นท่ามกลางการจับตาว่า 3 ป.จะปรับดุลอำนาจกันอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อ พล.อ.ประวิตรก้าวไปเป็นหัวพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่ควรมีตำแหน่งทางการเมืองรองรับอย่างสมฐานะ
ไม่ใช่เพียงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี “ลอยๆ” อย่างปัจจุบัน
เริ่มแรกเริ่มคาดหมายว่า พล.อ.ประวิตรอาจจะคุมกระทรวงกลาโหมแทน พล.อ.ประยุทธ์ที่นั่งควบอยู่ หรือได้ดูแลตำรวจแห่งชาติ
แต่พลันที่มีเสียงจาก พล.อ.ประยุทธ์
“ผมทำผิดพลาดอะไรในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถ้าไม่ผิดแล้วจะเปลี่ยนทำไม”
การไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของ พล.อ.ประวิตรก็จบลงรวดเร็ว

จากนั้น มีกระแส ส.ส.พปชร.จำนวนหนึ่ง
เสนอให้มีการล่ารายชื่อเพื่อสนับสนุนให้ พล.อ.ประวิตรในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแทน พล.อ.อนุพงษ์
โดยเหตุผล พล.อ.อนุพงษ์ไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับ ส.ส.ในพรรค
และให้ พล.อ.ประวิตรมาคุมเลือกตั้งในทุกระดับ
แต่ พล.อ.ประวิตรรีบมายุติกระแสข่าว ส.ส. เสนอให้นั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยควบรองนายกรัฐมนตรี
โดยบอกทีเล่นทีจริงว่า “ขนาดเดินยังไม่ไหวเลย”

จากท่าทีของ 3 ป.ข้างต้นจึงยืนยันว่า 3 พี่น้องบูรพาพยัคฆ์ยังคงเหนียวแน่นในความสัมพันธ์
และยังคงเป็นไปตาม “ยุทธศาสตร์ 3 ป.”
นั่นคือ พี่ใหญ่ พล.อ.ประวิตรขยับขึ้นไปเป็นหัวหน้าพรรค พปชร. เพื่อคุมงานการเมือง
ส่วน “น้องรอง” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา คุมข้าราชการในสังกัดทั่วประเทศแล้วยังคาบเกี่ยวไปถึงมวลชน และการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นทั้งระบบด้วย
สำหรับ “น้องเล็ก” คือ พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะนายกฯ ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในฐานะผู้นำประเทศ
3 ประสานนี้คือกลไกสำคัญที่จะต้องเชื่อมโยงให้เป็นเนื้อเดียวกันเพื่อให้ศูนย์อำนาจมีความมั่นคงและแข็งแกร่ง
สามารถเอาชนะศึกการเมืองในทุกรูปแบบ

กระแสข่าวความขัดแย้งใน “3 ป.” จึงมีแนวโน้มที่จะไม่เป็นจริง
ยิ่งเมื่อดูโผการปรับคณะรัฐมนตรียิ่งชี้ชัดว่า 3 ป.ยังคงกุมการนำเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
เมื่อพล.อ.ประวิตรฉีกข้อเสนอ พรรคพลังประชารัฐ โดยบอกว่า พรรคมีโควต้ารัฐมนตรี 2-3 เก้าอี้เท่านั้น
ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์อิงกระแสสังคมอย่างเต็มที่ นั่นคือ ไม่ยอมรับโผจากฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
และต้องการจะขอจัดทีมเศรษฐกิจเอง
นั่นจึงทำให้กลุ่ม 2 มิตรของนายสุริยะ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่ทุ่มเทแรงกาย ดัน พล.อ.ประวิตรขึ้นหัวหน้าพรรค ต้องกลืนเลือดอีกครั้ง
เพราะ พล.อ.ประวิตรเลือกจะยืนข้าง พล.อ.ประยุทธ์มากกว่าจะอยู่กับ ส.ส.หรือฝ่ายการเมือง
ซึ่งตรงนี้อาจจะเป็นปมคุกรุ่นระหว่าง 3 ป.กับนักการเมืองใน พปชร.
ที่แม้ตอนนี้ฝ่าย ส.ส.อาจจะต้องนิ่งเงียบเอาไว้ก่อน
แต่ในอนาคต ความรู้สึกถูก “หักหลัง” อาจจะมีการเอาคืนจากเหล่านักการเมืองนี้ก็ได้
ซึ่งก็อย่าประมาท เพราะว่าไป โผการปรับคณะรัฐมนตรีที่แย้มๆ ออกมาโดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ ก็ไม่ได้มีเสียงตอบรับในเชิงบวกนัก
ยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ ในอนาคตอันใกล้จากวิกฤตไวรัสโควิด-19 แล้วหากแก้ไขได้ไม่ดี
ความนิยมในรัฐบาลก็อาจดิ่งเหว
ซึ่งถึงตอนนั้น ส.ส.พปชร.ที่กลืนเลือดมาหลายอึก ก็อาจจะไม่เป็นหนึ่งเดียวกับ “3 ป.” ก็ได้
อันอาจจะนำไปสู่วิกฤตในสภา จนควบคุมไม่ได้
และยิ่งเมื่อมาผสานไปกับกระแส “เยาวชนปลดแอก” ที่นับวันจะขยายตัวออกไป ภายใต้ธงนำ ยุบสภา-แก้ไขรัฐธรรมนูญ
ทำให้พื้นที่การเมืองในอนาคต กลายเป็นพื้นที่อันตราย
โดยมีวิกฤตเศรษฐกิจ และที่เพิ่งเกิดขึ้นมาซ้ำซ้อนอยู่ตอนนี้
นั่นคือ ความรู้สึกถึงการไม่มี “ความยุติธรรม” ในสังคม จากกรณีสั่งไม่ฟ้องทายาทกระทิงแดง ที่ขับรถชนตำรวจ
ได้กลายเป็น “เชื้อไฟ” ที่จะสุมและเร่ง “สถานการณ์” ให้เลวร้ายลง

ดังนั้น แม้ 3 ป.จะอยู่ในสถานการณ์ “ปกติ” ยังเหนียวแน่นระหว่างพี่น้องตอนนี้
แต่กระแสรอบๆ 3 ป. ทั้งในพรรค พปชร. พรรคฝ่ายค้าน กลุ่มการเมือง และรวมถึงกระแสคนรุ่นใหม่
สถานการณ์กำลังจะเปลี่ยนไป
เปลี่ยนไปสู่ “แนวรบ” ที่มี 3 ป.เป็นเป้าหมายที่จะถูกทำลาย
————————–