อนุสรณ์ ติปยานนท์ : ค่าแรงเก็บน้ำผึ้งป่า

ปากะศิลป์ฉบับอ่านใหม่ (40)
ป่าน้ำผึ้ง (5)

คนทั้งหมดพากันเดินลึกเข้าไปในป่า อีกหนึ่งชั่วโมงถัดมาพวกเขาก็มาถึงลานโล่งกลางป่า มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งยืนต้นตระหง่าน และที่เกือบยอดของมันนั้นมีรังผึ้งขนาดใหญ่ปรากฏให้เห็นอยู่

“ต้นเสลี่ยม ถ้าบ้านเราทางภาคกลางก็ต้นสะเดา แต่คุณคงไม่เคยเห็นต้นใหญ่ขนาดนี้มาก่อนกระมัง?”

เขาพยักหน้ารับ

“บางที่ก็ขึ้นเป็นป่าเอาเลย ผมเคยพบที่เถินครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นนะ เอาชีวิตแทบไม่รอบ” หลวงบุเรศรฯ หัวเราะเบาๆ “แต่ไม่ใช่เรื่องของผึ้งหรอกนะที่เล่นเอาผมเกือบตาย เรื่องอื่นเสียมากกว่า”

แทนการต่อบทสนทนา หลวงบุเรศรฯ เดินออกไปสำรวจต้นเสลี่ยมที่ว่านั้น เขาสำรวจโคนต้นและหยิบเอากล้องส่องทางไกลออกจากย่ามสะพาย ส่องไปที่รังผึ้งด้านบน “เกือบสิบเมตรเชียวว่ะเด็ด เอาทอยสักยี่สิบหรือสามสิบอันมาที่นี่ที ใครจะขึ้นล่ะครานี้ แกหรือเดี่ยว เอาเดี่ยวแล้วกัน คราก่อนที่ร้องกวางแกขึ้นไปแล้วนี่นะ”

ชายผู้ถูกเรียกว่าเด็ดผงกศีรษะรับคำอย่างเงียบๆ เขาเตรียมเถารางจืด พร้อมกับทอยให้กับชายอีกคน ครานี้ชายหนุ่มสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างเด็ดกับเดี่ยวได้แล้ว เด็ดจะออกท้วมกว่า ในขณะที่เดี่ยวมีหุ่นเพรียวบาง แต่ทั้งคู่นั้นมีร่างกายที่กำยำล่ำสัน กล้ามเนื้อที่แขนและขาของเขาบอกว่ามันถูกใช้งานอย่างแข็งแกร่งแทบจะตลอดมาทีเดียว

เดี่ยวตอกปลายแหลมของทอยลงที่ลำต้น ก่อนจะใช้ฝ่าเท้าทดสอบความแน่นหนาของมัน เขาเว้นระยะห่างระหว่างทอยราวห้าสิบเซนหรือเกือบสองฟุต ระยะห่างนั้นดูจะมากกว่าลูกบันไดทั่วไปแต่ก็พอก้าวถึง ทอยแต่ละอันถูกตอก เสียงตอกดังก้องไปทั่วป่า ร่างของเด็ดไต่สูงขึ้นไปตามต้นเสลี่ยม จนชายหนุ่มต้องแหงนคอตั้งบ่าเพื่อติดตามการเคลื่อนที่ของเขา สิ่งที่เขาสนใจคือดูเหมือนเด็ดจะไม่ป้องกันตนจากฝูงผึ้งข้างบนเลย เขามีเพียงเสื้อเชิ้ตแขนสั้น กางเกงขายาวและย่ามที่บรรจุเถารางจืดเท่านั้น

หลวงบุเรศรฯ ขยับเข้ามายืนข้างกายชายหนุ่ม “อีกไม่นานล่ะคุณ เราก็จะได้ลิ้มน้ำผึ้งบนต้นนั้น ขยับไปยืนแถบนั้นดีกว่า ปล่อยให้สองคนนั่นเขาอวดฝีมือกัน”

 

ชายหนุ่มและหลวงบุเรศรฯ ถอยออกจากโคนต้นเสลี่ยมไปห่างในระยะพอควร เด็ดขึ้นไปถึงใกล้รังผึ้งแล้ว ภาพที่ชายหนุ่มเห็นคือเขาพนมมืออยู่ชั่วครู่ ก่อนจะจุดไฟเข้ากับปลายเถารางจืดในมือ เปลวไฟและควันจากเถารางจืดทำให้ฝูงผึ้งอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่าแตกรัง

แต่น่าแปลกที่ผึ้งเหล่านั้นหาได้เข้าโจมตีเด็ด มันบินวนรอบตัวเขาอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะบินหายลับไป

เด็ดทยอยเอารังผึ้งทั้งหมดนั้นใส่ย่ามอีกใบที่เขาเอาติดตัวขึ้นไป ก่อนจะค่อยก้าวลงมาตามทอยที่ตอกไว้ เมื่อเขาลงมาถึงพื้นดิน หลวงบุเรศรฯ ตบบ่าเขาเบาๆ “ทำได้ดีมากเด็ด เรากลับกันเถอะ อีกไม่นานน่าจะใกล้ค่ำแล้ว คืนนี้ฉันมีอะไรจะคุยกับคุณเขาสักหน่อย ไม่อยากถึงบ้านให้มันมืดเกินไป”

ทั้งหมดเดินกลับออกจากป่าตามเส้นทางเดิม พระอาทิตย์คล้อยต่ำอย่างรวดเร็ว ตลอดทางไม่มีบทสนทนา มีแต่ความเงียบ

ชายหนุ่มนึกถึงคำพูดของหลวงบุเรศรฯ มีเรื่องอะไรหรือที่ต้องสนทนากัน เขาพยายามขบหาเหตุผลนานา แต่ก็ไม่พบเหตุผลอะไรที่พอใช้ได้เลย ไม่มีทางเลือก สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงแต่การเฝ้ารอ

ทว่าหลังจากรถจี๊ปคันนั้นจอดสนิท ทุกคนดูจะหายจากเขาไปหมด เด็ดและเดี่ยวรับค่าเงินจากหลวงบุเรศรฯ พร้อมด้วยคำสำทับ

“นี่ค่าแรงพิเศษนะ อย่าใช้หมดละพวกเอ็ง เก็บๆ ไว้บ้าง”

หลังจากนั้นคนหนุ่มทั้งคู่ก็เดินหายลงไปในทางเข้าหมู่บ้าน ส่วนหลวงบุเรศรฯ หายไปในที่พักของเขาพร้อมกับรังผึ้ง

ชายหนุ่มไม่รู้ว่าควรจะปฏิบัติตนเช่นไรในสภาพเช่นนี้ เขาตัดสินใจขึ้นที่พัก หยิบเอกสารที่ได้รับมาเมื่อวันก่อนขึ้นพลิกอ่านทบทวนไปมาแบบฆ่าเวลา

ความมืดมาถึงอย่างรวดเร็ว ดังที่เขาว่ากันว่าป่านั้นดูดแสงสว่างเร็วกว่าที่ใด ไม่นานนักฝูงแมลงทั้งยุงและแมลงจากป่านานาชนิดก็พากันมารายล้อมดวงตะเกียงที่จุดไว้หน้าบ้าน

เขาตัดสินใจไม่ชำระร่างกายในวันนี้ ล้างหน้าล้างตาเอาน่าจะพอ เขาบอกกับตนเอง และอาหารเย็นล่ะ อดเอาเถอะ เขาบอกกับตนเองอีกเช่นกัน

ส่วนเครื่องดื่มมึนเมานั้น ถ้าอดไม่ได้จริงๆ จะลองบากหน้าเดินไปขอกับหลวงบุเรศรฯ ดูสักที

 

จนหมดบุหรี่ตัวที่เท่าไหร่ก็สุดจะจำ และเขาตั้งท่าจะลงไปหาหลวงบุเรศรฯ นั่นเองที่คนซึ่งเขาหลงเหลือเป็นมิตรเพียงคนเดียวในป่ายามนี้ก็ปรากฏตัวขึ้น

“หิวหรือยังคุณ ขอโทษทีเถอะ ผมมัวแต่ง่วนกับการคั้นเอาน้ำผึ้งออกมากรอกใส่ขวดเก็บไว้ จนลืมเวลาไปเลย กินอาหารกระป๋องได้ไหม ผมมีแฮมกระป๋องกับเนื้อเค็มตากแห้งอยู่พวงใหญ่ ถ้าคุณไม่คิดจะกินข้าวละก็ สองอย่างนี้น่าจะเป็นกับแกล้มเราได้ทั้งคืน”

ชายหนุ่มรับหน้าที่ก่อเตา ในขณะที่หลวงบุเรศรฯ นำเครื่องกระป๋องจำนวนมากลงมาวางที่กลางลานหน้าบ้านพร้อมกับเนื้อเค็มตากแห้งและวิสกี้ชั้นดีขวดสีเขียวมรกต ระหว่างรอถ่านสุกแดงให้ได้ที่ หลวงบุเรศรฯ ยกแก้วเหล้าที่เติมของเหลวสีอำพันแก้วหนึ่งให้เขา “อุ่นร่างกายสักหน่อยก่อนคุณ ค่ำคืนนี้น่าจะยาวนาน”

เขาจิบเครื่องดื่มในแก้ว รสขมที่คุ้นเคย บางทีเขาก็อดคิดไม่ได้ว่านี่คือชีวิตที่เป็นปกติสำหรับเขาแล้วหรือ การอยู่ห่างบ้าน ไร้ญาติ ขาดมิตร มีแต่เพียงเครื่องดื่มมึนเมาเป็นเพื่อนและชีวิตในอนาคตที่มืดมนจนมองแทบไม่เห็นทาง

“เป็นอะไรล่ะคุณ เงียบจนน่ากลัว คิดถึงอะไรที่ผ่านมาหรือเปล่า ลากม้านั่งไปนั่งเล่นกันข้างกองไฟไหม ผมจะไปตักน้ำฝนมาแกล้มเหล้า คุณเอาเนื้อขึ้นย่างได้เลย ไม่ใช่เนื้อวัวทั่วไปหรอกนะ เนื้อกวางแถวนี้ ย่างไฟอ่อนๆ ก็พอ”

 

กลิ่นเนื้อที่ทยอยสุกทำให้เขารู้สึกชีวิตมีความรื่นรมย์ขึ้นอย่างบอกไม่ถูก วิสกี้อเมริกันขวดนั้นเมื่อตามด้วยน้ำฝนก็ทำให้จิตใจปลอดโปร่งขึ้นมาก

แต่กระนั้นความกังวลใจของเขาก็ยังมีอยู่

หลวงบุเรศรฯ หาได้เอ่ยถึงสิ่งที่เขาเกริ่นไว้ล่วงหน้าว่ามีบทสนทนาจะพูดคุยกับเขา หรือว่าเขาลืมมันไปเสียแล้ว

จนเมื่อเกือบถึงค่อนคืนที่เหล้าในขวดพร่องจนเกือบหมดและดาวเต็มฟ้านั่นที่หลวงบุเรศรฯ ลุกขึ้นเอากระทะใส่น้ำ เปิดฝาแฮมกระป๋อง รอจนน้ำเดือด ก่อนจะเอาเครื่องกระป๋องลงอุ่น วิธีนี้ไม่เลวดีทีเดียว เนื้อแฮมจะสุกอย่างช้าๆ ไปทั่ว หลังจากนั้นไม่นาน หลวงบุเรศรฯ เอาเนื้อแฮมเทใส่จาน ซอยพริก หอมแดงลงคลุกเคล้าตามด้วยพริกป่นและมะนาวเป็นอันเสร็จพิธี

เขาช่างดูเป็นคนเก็บผึ้งที่มีความสุขเสียนี่กระไร

“คนโสดนะคุณ” หลวงบุเรศรฯ กล่าว “ถ้าไม่รู้วิธีดูแลตนเองก็คงไม่รอด ยิ่งเหตุการณ์ที่เถินครั้งนั้น พอผมรอดออกมาได้ ก็สาบานกับตนเองล่ะว่าจะไม่เอาชีวิตหรือหัวใจไปฝากไว้กับใครอีกต่อไป”

ชายหนุ่มยกแก้วในมือขึ้นจิบ นี่เป็นครั้งที่สองในรอบวันแล้วที่เขาได้ยินหลวงบุเรศรฯ เอ่ยถึงคำว่า “เถิน”

 

“ตอนนั้นผมยังเป็นหนุ่มรุ่นกระทง อายุเท่าคุณนี่แหละ เพิ่งออกมาจากสถานศึกษา เขาส่งไปสำรวจเส้นทางที่เชื่อมระหว่างภาคเหนือกับภาคกลาง เส้นทางหนึ่งที่สำคัญคือทางจากเถินที่ลำปางตัดเขาลงมาที่ราบที่ทุ่งเสลี่ยม สุโขทัย คนทุ่งเสลี่ยมหลายคนก็ใช้เส้นทางนั้นอพยพลงมาจากทางเหนือ ตอนนั้น ผมแบกสัมภาระล่วงหน้าไปคนเดียว ลงรถไฟที่สวรรคโลกแล้วต่อเข้าทุ่งเสลี่ยม ฝังตัวอยู่ที่นั่นเสียหลายเพลา จนพอจับสำเนียงพูดเขาได้เลยคิดว่าจะขึ้นเถินต่อละ ไม่รอหมู่คณะ แต่ก็เจอไข้เสียก่อน ก็เพราะไอ้ไข้นั่นแหละ ทำเอาผมวางของดื่มในมือนี้ไม่ได้ ถ้าไม่มีมันช่วยต่อชีวิตยามนั้น น่าจะแย่”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับ

“รอดจากไข้ได้ คณะก็ขึ้นไปลำปางกันเสียแล้ว กลายเป็นเราที่ต้องต้วมเตี้ยมอีกครั้ง จากคนมาก่อนกลายเป็นคนมาหลัง อ้อ ลืมบอกไม่ใช่ไข้ป่าอะไรหนักหนานักหรอก อากาศมันเปลี่ยน จะเรียกว่าพวกไข้หัวลมก็คงจะได้กระมัง พรรคพวกเขาทิ้งรถจี๊ปบุโรทั่งไว้ให้คันหนึ่ง ซ่อมเพลา เกียร์ เปลี่ยนล้อจนพอลากสังขารไหว ทั้งรถและคนขับ ผมก็มุ่งหน้าขึ้นเถิน แต่ร่างกายมันยังไม่แกร่งนักก็แวะมันเสียทุกหมู่บ้านไป จนมาถึงหมู่บ้านสุดท้ายก่อนเข้าลำปางนั่นแหละ ที่ผมเจอดีเข้า”

“เป็นไข้อีกหรือครับ?” เขาอดสงสัยไม่ได้