วงค์ ตาวัน | ตำนานคนหนุ่ม-สาว

วงค์ ตาวัน

การกลับมาอีกครั้งของม็อบนักเรียน-นักศึกษา มาในนามเยาวชนปลดแอก เป็นการกลับมาแบบสร้างความตื่นตะลึงให้กับรัฐบาลได้ไม่น้อย เมื่อมีผู้เข้าร่วมชุมนุมจำนวนหลายพันคน เต็มล้นบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จากนั้นก็ตามด้วยแฟลชม็อบตามสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศ

ถือได้ว่าเป็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ และคงต้องจับตาแบบห้ามกะพริบในต้นเดือนหน้า ซึ่งเป็นกำหนดขีดเส้นให้รัฐบาลพิจารณาข้อเรียกร้อง น่าสนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น

เท่ากับว่า หลังจากมีการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลของนักเรียน-นักศึกษาในต้นปีที่ผ่านมา แล้วต้องสะดุดหยุดลงด้วยปัญหาโรคระบาดโควิด

“เมื่อกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง แทบไม่ต้องสตาร์ตใหม่อะไรเลย เดินเครื่องต่อเนื่องได้ทันที”

ปรากฏการณ์นี้คงสร้างความหวั่นไหวให้กับกลุ่มผู้มีอำนาจไม่น้อยเลย บรรดากองหนุนกองเชียร์รัฐบาลออกมาสกัดขัดขวางกันอลหม่าน งัดข้อกฎหมายมาข่มขู่ อ้างข้อหารุนแรงมาข่มขวัญ

ทั้งพยายามหยิบปัญหาโควิดมาปั่นเป็นกระแส เอาความหวาดกลัวโรคระบาดมาหยุดยั้ง ทำนองว่าการจัดชุมนุมมีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกัน เสี่ยงต่อการแพร่ไวรัส

เรียกว่าใช้ทั้งข้อหาคดีความ ไปจนถึงโรคระบาด เพื่อโจมตีการชุมนุมเคลื่อนไหวของเยาวชนนักศึกษา

“นอกจากจะไม่มีผลหยุดยั้งเหล่าเยาวชนคนรุ่นใหม่ได้แล้ว ดีไม่ดีวิธีการเหล่านี้ยังจะเป็นการยั่วยุท้าทาย ทำให้อารมณ์การต่อสู้ยิ่งลุกโชนมากขึ้น”

อีกทั้งมุขเดิมๆ ที่ยังพยายามนำออกมาใช้ก็คือ การเหยียดว่าเด็กๆ เหล่านี้อ่อนหัด ถูกชักจูงไปในทางที่ผิด

ตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองที่ชักใยปลุกปั่นให้เด็กๆ ออกหน้า ลงเอยต้องเจ็บตัว ต้องสูญเสีย ต้องดำเนินคดีติดคุกติดตะราง

ความคิดที่ว่าเด็กรุ่นใหม่อ่อนหัด ไม่รู้เรื่องการเมืองดีพอนั้น

คนที่คิดเช่นนี้นั่นแหละ เป็นผู้ที่ไม่เคยรู้เรื่องการเคลื่อนไหวต่อสู้อย่างแท้จริง

เพราะการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง นำประเทศชาติไปสู่ประชาธิปไตยนั้นก็มาจากพลังหนุ่ม-สาวเยาวชนเช่นนี้แหละ

14 ตุลาคม 2516 ที่สามารถโค่นล้มรัฐบาลทหารได้ เป็นการต่อสู้ที่ผู้นำก็คือนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยทั้งสิ้น!

ไม่เพียงพลังนักเรียนนิสิต-นักศึกษาจะเป็นกำลังสำคัญในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย จนกลายเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ประเทศไทยเมื่อ 14 ตุลาคม 2516 เท่านั้น แต่หลังจากนั้นในช่วงปี 2516 จนถึง 6 ตุลาคม 2519 จะพบว่าศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยเยาวชนคนหนุ่ม-สาว

“ได้เป็นขบวนการสำคัญที่สุดของสังคมไทยในการต่อสู้เพื่อสร้างความเป็นธรรม ผลักดันความก้าวหน้าทางความคิดของประชาชน”

ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาฯ เป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวของประชาชนทุกสาขาอาชีพ ร่วมกับกรรมกรผู้ใช้แรงงาน จัดตั้งสหภาพแรงงานไปทั่วทุกโรงงาน ร่วมกับเกษตรกรชาวนา ต่อสู้เพื่อราคาข้าว และสร้างองค์กรชาวนาขึ้นมาเพื่อเป็นตัวแทนของเกษตรกร ในการปกป้องสิทธิของชาวไร่ชาวนาทั่วประเทศ

“จนกระทั่งกลุ่มอำนาจในสังคมไทยไม่อาจปล่อยให้ขบวนการนักศึกษาเติบโตต่อไปได้ จึงเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เพื่อกวาดล้างขบวนการนักศึกษาให้หมดสิ้น”

แต่เป็นการผลักให้นักศึกษาต้องเข้าป่า ไปจับปืนร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ จนเกือบจะชนะ เกือบจะยึดอำนาจรัฐได้อยู่แล้ว เขตเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์มาจ่อใกล้กรุงเทพฯ ทุกด้าน

จนกระทั่งมีความแตกแยกในโลกสังคมนิยม ทำให้คอมมิวนิสต์ระส่ำระสาย แล้วกองทัพที่ใช้มันสมองมากกว่ากำลังในยุคนั้น ผลักดันคำสั่งที่ 66/2523 เปิดทางให้กลับคืนเมืองได้ ป่าจึงแตก นักศึกษากลับสู่เมือง หันมาใช้ชีวิตปกติ หรือเคลื่อนไหวตามแนวทางสันติ

“จะเห็นได้ว่าจาก 14 ตุลาคม 2516 จนถึง 6 ตุลาคม 2519 พลังเยาวชนคนหนุ่ม-สาวในวัยเรียน เป็นพลังสำคัญที่สุดในการเคลื่อนไหว!”

ไม่ใช่วัยที่ยังอ่อนด้อยไร้เดียงสาอะไรเลย อีกทั้งยังเป็นวัยที่แข็งแกร่ง กระฉับกระเฉง กินนอนตามสถาบันศึกษา ออกติดโปสเตอร์ดึกดื่น หรือชุมนุมต่อสู้ได้ยืดเยื้อกลางแดดกลางฝน แทบไม่มีปัญหาการเจ็บป่วยใดๆ

ลักษณะนิสัยคนวัยหนุ่ม-สาว ยึดในหลักเสรีภาพ เป็นวัยแห่งเสรี จึงมุ่งมั่นในความคิดอุดมการณ์ ประชาธิปไตยเสรีนิยมเป็นสำคัญ

สำคัญสุด เป็นวัยที่ไม่มีภาระใดๆ มาผูกมัด ไม่ต้องทำงานหาเงินทอง ไม่ผูกพันกับผลประโยชน์ทางธุรกิจการค้า ไม่มีผลประโยชน์ทางการเมืองมาเกี่ยวข้อง

พลังคนหนุ่ม-สาว จึงเรียกได้ว่าเป็นพลังบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ไม่มีใครใช้เงินทองมาชักจูงใดๆ ได้!

น่าตลกสิ้นดี ที่คนในวัยซึ่งเต็มไปด้วยภาระหาเงินหาทอง พะรุงพะรังไปด้วยผลประโยชน์ทั้งทางการเมือง ผลประโยชน์ทางธุรกิจการค้า แถมขาดความกล้าหาญลงไปเพราะมีความผูกพันในด้านครอบครัว ต้องคิดหน้าคิดหลังในการตัดสินใจทำอะไร

คนพวกนี้กลับมาชี้หน้าสั่งสอนเด็กๆ ว่า อ่อนหัดทางการเมือง อ่อนด้อยในการเคลื่อนไหวต่อสู้

ทั้งที่เยาวชนนี่แหละ ที่มุ่งมั่นจริงจัง อยู่ในวัยที่กำลังห้าวสุดขีด ความคิดความอ่านฉับไว เรียนรู้ข้อมูลข่าวสารมากมาย ท่องโลกข่าวสารข้อมูลในเน็ตได้เก่งกาจกว่าคนรุ่นเก่าหลายเท่า

“เป็นเลิศเรื่องความรอบรู้ ไม่มีทางที่ใครจะมาชักจูงได้ง่ายๆ รวมทั้งไม่มีผลประโยชน์รุงรังมาฉุดรั้งหรือทำให้แนวทางต่อสู้เฉไฉได้”

คนรุ่นเก่าๆ ที่ออกมาขัดขวางการเคลื่อนไหวของเยาวชนคนรุ่นใหม่ ส่วนหนึ่งคือมือไม้ของกลุ่มอำนาจ ได้รับผลประโยชน์ทางการเมือง ได้รับแต่งตั้งให้มีตำแหน่งทางการเมือง ได้เงินเดือนผลประโยชน์อีกมากมาย

พวกนี้ย่อมดิ้นรนขัดขวางกลุ่มเยาวชนนักเรียนนักศึกษาทุกวิถีทาง ไม่เช่นนั้นผลประโยชน์ที่เกาะกินอยู่จะพังทลายไปได้

อีกส่วนหนึ่งเป็นคนรุ่นเก่า ถูกความคิดงมงายครอบงำ กลายเป็นปกป้องการเมืองที่ทำให้ประชาชนคนไทยไม่ได้รับความเจริญก้าวหน้า

“ปกป้องการเมืองที่ทำให้ตัวเองต้องดักดานอยู่แท้ๆ”

เพราะสิ่งที่คนรุ่นใหม่เคลื่อนไหวต่อสู้ คือ ต้องการเปลี่ยนแปลงการเมืองยุคปัจจุบัน ที่สร้างกฎกติกา สร้างรัฐธรรมนูญมาเพื่อให้คนกลุ่มหนึ่งผูกขาดอำนาจต่อไปได้ยาวนานที่สุด

แถลงการณ์ของเยาวชนปลดแอกบอกชัดว่า การบริหารประเทศของกลุ่มผู้มีอำนาจปัจจุบัน ขาดประสิทธิภาพ เศรษฐกิจตกต่ำมาตลอด ในสถานการณ์โควิดก็เอาแต่กดประชาชนให้อยู่กับบ้าน ส่งผลให้เศรษฐกิจปากท้องประชาชนเสื่อมทรุดเสียหายอย่างหนัก

“มีการใช้องค์กรอิสระต่างๆ มาเป็นเครื่องมือ เพื่อให้กลุ่มผู้มีอำนาจอยู่ได้ยาวนาน และเป็นเครื่องมือกำจัดคนคิดต่างทางการเมือง”

จึงเรียกร้องให้ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่ยึดหนทางประชาธิปไตย อีกทั้งเป็นที่รู้กันดีว่า ผู้เข้าสู่อำนาจ ไม่ใช่พรรคที่ชนะเลือกตั้งอย่างแท้จริง จึงเป็นที่มาของรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม หรือต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อขจัดกติกาอันบิดเบี้ยว แค่เรื่อง 250 ส.ว.มีอำนาจเหนือเสียงประชาชนหลายล้านก็ชัดแจ้งอยู่แล้ว

คนรุ่นเก่าที่ถูกความงมงายครอบงำ ไม่เข้าใจเลยหรือว่าการเคลื่อนไหวของเยาวชนเหล่านี้ เพื่อสร้างการเมืองที่เป็นธรรม เป็นประชาธิปไตยแท้จริง เพื่อให้อำนาจของประชาชนผ่านการเลือกตั้ง เป็นเสียงชี้อนาคตบ้านเมือง

กลับพยายามปกป้องการเมืองอันพิกลพิการ ที่อำนาจของตัวเองแท้ๆ ด้อยกว่า 250 ส.ว.เสียอีก แล้วจะปกป้องเพื่ออะไร!?!