วรศักดิ์ มหัทธโนบล : ย้อนวันวานเยือนฮ่องกง

วรศักดิ์ มหัทธโนบล

ฮ่องกงเมื่อวันวาน (1)

ปลายพฤษภาคม ค.ศ.1989 ผมได้นำตัวเองมาถึงฮ่องกงพร้อมกับคณะที่ร่วมเดินทางมาด้วยจำนวนหนึ่ง สำหรับผมแล้วถือเป็นครั้งแรกที่ได้มาฮ่องกง แต่วันแรกวันนั้นผมไม่ได้สัมผัสอะไรที่เกาะแห่งนี้มากนัก เพราะต้องไปพักยังห้องพักแห่งหนึ่งเพื่อรอลงเรือที่จะเดินทางไปเมืองซ่านโถว

ซ่านโถวก็คือเมืองซัวเถาในภาษาถิ่นจีนแต้จิ๋วที่คนไทยเชื้อสายจีนในไทยเรียกกัน

ในขณะที่รถพาออกจากสนามบินเพื่อไปยังที่พักนั้น ผมพอได้เห็นบ้านเมืองของฮ่องกงแบบผ่านๆ ทำให้นึกถึงภาพที่เคยได้เห็นจากหนังฮ่องกงที่เข้าไปฉายในเมืองไทย ว่าไม่มีความแตกต่างกันเลย

เพียงแต่คราวนี้ผมได้มาเห็นฮ่องกงจริงๆ เท่านั้น

 

ฮ่องกงเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องสูงใหญ่จนดูแออัด ผู้คนดูเร่งรีบเหมือนกำลังมีธุระปะปังสำคัญ แต่ก็ไม่รู้สึกชวนให้วุ่นวายตามเขาไปด้วย เพราะสิ่งหนึ่งที่มาช่วยลดทอนให้รู้สึกเช่นว่าก็คือ การแต่งกายของคนฮ่องกง

ที่ดูทันสมัย แต่เหมาะเจาะ ไม่ล้ำจนเกินไป แต่ก็ไม่ล้าไปอยู่ข้างหลัง

นั่นเป็นภาพของฮ่องกงเมื่อแรกเห็น ครั้นพอตกเย็นผมก็อยู่บนเรือโดยสารที่จะนำเราไปซัวเถา อาหารมื้อเย็นของวันนั้นจึงมีขึ้นที่เรือ ครั้นพอถึงหัวค่ำ เรือก็แล่นออกจากท่า เรือมาจอดเทียบที่ท่าเรือซัวเถาในเช้าวันรุ่งขึ้น

และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้เหยียบจีนแผ่นดินใหญ่

เราใช้เวลาอยู่ที่ซัวเถาวันสองวันแล้วก็ไปเมืองกว่างโจว (กวางเจา) ซึ่งเป็นเมืองเอกของมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) และอยู่ที่นั่นอีกวันสองวัน จากนั้นก็กลับฮ่องกงอีกครั้งหนึ่งก่อนจะกลับเมืองไทย

ถึงตรงนี้ผมมีเรื่องที่จะขอเล่าแทรกสองเรื่อง…

 

เรื่องแรก เวลานั้นจีนเพิ่งเปิดประเทศได้ประมาณสิบปี ไทยเรายังไม่เปิดการบินไปยังซัวเถาโดยตรง การเดินทางไปซัวเถาอาจไปได้หลายทาง ทางเรือก็เป็นทางหนึ่ง และทางจีนก็จัดให้เราไปทางเรือ แต่เดี๋ยวนี้มีเครื่องบินบินไปซัวเถาโดยตรงแล้ว ไม่ต้องลำบากลำบนเหมือนสมัยที่ผมกำลังเล่าอยู่นี้

เรื่องต่อมา ผมได้บอกแต่ต้นแล้วว่า ตอนที่เดินทางออกจากเมืองไทยนั้นเป็นช่วงปลายพฤษภาคม ค.ศ.1989 หากใครที่ตามเรื่องจีนแบบแม่นยำแล้วจะรู้ว่า ช่วงเวลานั้นกำลังมีการชุมนุมประท้วงพรรคคอมมิวนิสต์จีนของนักศึกษาจีน และตอนที่ผมอยู่ที่เมืองกว่างโจวจะตรงกับวันที่ 3 และ 4 ของเดือนมิถุนายน

และเช้าวันที่ 4 มิถุนายนก็คือ วันที่ทางการจีนได้ใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมของนักศึกษา จนนำมาสู่เหตุการณ์นองเลือดเทียนอันเหมินที่รู้จักกันทั่วโลก

ตกบ่ายวันที่ 4 นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ในเมืองกว่างโจวได้ออกมาเดินขบวนประท้วงการสลายการชุมนุมของรัฐบาล ขบวนประท้วงได้เดินมาจบลงที่อนุสาวรีย์วีรชนที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ผมไม่รู้ว่าการชุมนุมประท้วงนี้ยาวนานแค่ไหน หรือเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ด้วยพอตกเย็นวันนั้นผมก็ต้องอยู่กับเจ้าภาพฝ่ายจีน

จากนั้นวันรุ่งขึ้นจึงได้เดินทางเข้าฮ่องกง

เราเข้าไปพักยังห้องพักเดิมเหมือนตอนขามา ระหว่างนั้นเจ้าของห้องพักได้มาคุยกับผมเพื่อจะถามข่าวสารจากจีนแผ่นดินใหญ่

ผมก็เล่าให้เธอฟังตามที่ได้เห็นมา ฟังแล้วเธอก็พูดกับผมด้วยน้ำเสียงเศร้าปนเครียดว่า

“เป็นคนจีนด้วยกันแท้ๆ ทำไมจึงต้องมาฆ่าแกงกันด้วย”

 

จะว่าไปแล้ว คำพูดของเธอเป็นคำพูดที่เราสามารถได้ยินได้ฟังแทบทุกครั้งที่เกิดการฆ่ากันทางการเมือง

แต่ถ้าเราคิดให้ลึกลงไปอีกสักหน่อยก็จะพบว่า คำพูดเดียวกันนี้ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหนก็ตาม ต่างก็มีความต่างกันในเรื่องของบริบททางสังคม

เช่น คำพูดของเธอหมายถึงบริบทของสังคมจีนแผ่นดินใหญ่ แต่ถ้าเหตุการณ์นั้นเกิดในบริบทสังคมไทย ความเข้าใจต่อเหตุการณ์ก็จะต่างไปอีกแบบ ยิ่งสำหรับเธอซึ่งเป็นคนฮ่องกงด้วยแล้ว ตอนที่เธอพูดนั้นฮ่องกงยังมิได้กลับไปเป็นของจีน

ผมจึงสงสัยว่า เธอจะรู้สึกเช่นไรที่ได้เห็นฮ่องกงในวันนี้ ถึงแม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเกาะแห่งนี้จะยังไม่ถึงกับมีการฆ่าแกงกันก็ตาม เหตุฉะนั้น ฮ่องกงเมื่อแรกพบของผมจึงไม่สู้จะปกติสักเท่าไหร่ และเพราะเหตุนี้ ผมจึงมีความรู้สึกนึกคิดต่อฮ่องกงเป็นพิเศษ โดยเฉพาะหลังจากที่ฮ่องกงตกกลับคืนไปเป็นของจีนในปี 1997 ไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม วันนั้นผมได้เก็บห้วงคำนึงที่ว่าเอาไว้ในใจ และได้แจ้งแก่เจ้าของห้องพักว่า ผมจะออกไปเดินเล่นข้างนอกสักครู่เป็นการฆ่าเวลา

เธอรับทราบ

 

เมื่อลงมาถึงด้านล่างที่เป็นบาทวิถี ผมมองหันซ้ายขวาเพื่อดูว่าจะไปทางไหนดีอยู่สักครู่ก็ตัดสินใจได้ คือตัดสินใจว่าควรเดินไปหาอะไรมาบริโภคตามวิสัยของตัวเองดีกว่า อย่างน้อยก็เพื่อพิสูจน์ว่าอาหารฮ่องกงเลิศรสสมคำเล่าลือจริงหรือไม่

ผมเดินไปตามบาทวิถีได้ไม่กี่นาทีก็มาถึงย่านที่มีร้านอาหารตั้งอยู่ แล้วก็ใช้สายตาส่องสำรวจว่าควรจะปักหมุดที่ร้านไหนดี โดยตั้งใจว่าไม่ควรเป็นร้านอาหารตามสั่ง เพราะท้องของผมเพิ่งผ่านอาหารเที่ยงมาไม่ถึงสองชั่วโมงดี แต่ควรเป็นร้านอาหารจานเดียว

แล้วสายตาของผมก็เพ่งไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ

เมื่อนั่งในร้านแล้วก็ดูรายการอาหาร ผมพบสิ่งที่น่าสนใจอยู่อย่างหนึ่งคือ ที่นี่มีบะหมี่เนื้อด้วย สำหรับผมแล้วถือว่าเป็นเรื่องใหม่ เพราะในเมืองไทยแม้จะมีร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อก็ตาม แต่ในเวลานั้นยังไม่มีร้านไหนมีบะหมี่มาขายรวมกับเส้นอื่นๆ ด้วย

ถ้าว่ากันตามความเข้าใจของผมแล้ว ผมคิดว่าที่ไม่มีขายก็เพราะรสชาติมันไม่เข้ากันกับสูตรในการปรุง ซึ่งในบ้านเราเป็นสูตรของจีนแต้จิ๋ว ผมเคยลองสั่งมากินเมื่อเห็นบางร้านมีบะหมี่ให้เลือกอยู่ด้วย (ส่วนใหญ่จะไม่มี) กินแล้วมันไม่เข้ากันจริงๆ

แต่ถ้าเป็นฮ่องกงซึ่งเป็นอาหารกวางตุ้งที่ผมกำลังนั่งดูรายการอาหารอยู่นี้เป็นข้อยกเว้นจริงๆ จากเหตุนี้ ผมจึงสั่งบะหมี่เนื้อโดยไม่ลังเล

และเนื่องจากผมจงใจนั่งใกล้ๆ กับแผงที่ปรุงขายเพื่อจะดูว่าเขาทำอย่างไร ผมจึงเห็นการปรุงของคนขายโดยตลอด

 

ตอนที่ดูมีข้อสงสัยอยู่อย่างก็คือ บนแผงนอกจากจะวางวัสดุอุปกรณ์และวัตถุดิบที่ร้านก๋วยเตี๋ยวทั่วไปพึงมีแล้ว ก็ยังเห็นมีกาน้ำร้อนตั้งอยู่บนเตาอีกด้วย กานี้มีไอร้อนจากน้ำในกาพวยพุ่งออกมาอยู่ตลอดเวลา ผมสงสัยว่ามันคืออะไร?

จนถึงชามของผม ผมเห็นคนปรุงลวกเส้นบะหมี่ใส่ชามให้ผมเสร็จแล้วก็หยิบชิ้นเนื้อดิบๆ ที่หั่นพอคำจากภาชนะมาวางคลี่บนบะหมี่เป็นแผ่นๆ แผ่ไปทั่วอย่างเป็นระเบียบ ในใจผมก็นึกว่า ตายละวา…เขาจะให้เรากินเนื้อดิบๆ หรือไร? (ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงผมก็กินได้นะครับ) สิ่งที่เห็นก็คือ เขายกกาที่น้ำกำลังเดือดจัดแล้วรินอย่างช้าๆ ลงบนเนื้อที่เขาปูเอาไว้บนบะหมี่จนทั่ว

ถึงตอนนั้นผมก็ถึงบางอ้อ…ว่าที่แท้น้ำในกาก็คือน้ำซุป และที่เขารินช้าๆ จนทั่วก็เพื่อน้ำซุปที่เดือดจัดค่อยๆ ลวกเนื้อให้พอสุกแบบการลวกเนื้อสดในร้านก๋วยเตี๋ยวของไทย จากนั้นก็ยกมาวางไว้ตรงหน้าผม

ไม่เหลือหรอกครับ…และรสชาติก็สมกับคำเล่าลือจริงๆ

 

เมื่อสิบกว่าปีก่อนมีร้านบะหมี่เนื้อฮ่องกงในกรุงเทพฯ อยู่ร้านหนึ่งชื่อมารีน่าฮ่องกง ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับโรงหนังสกาลา ร้านนี้ไม่มีเมนู “เนื้อสด” แบบที่ผมกินในฮ่องกง มีแต่เนื้อกับเครื่องในตุ๋น และรสชาติของน้ำซุปก็ไม่เหมือนกับที่ผมกินที่ฮ่องกง

แต่จะด้วยเป็นร้านที่มีเจ้าของคนเดียวกับสกาลาหรืออย่างไรไม่ทราบได้ ร้านนี้ได้ปิดตัวลงเมื่อไม่นานมานี้ ครั้นพอถึงวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ.2020 โรงหนังสกาลาก็ปิดตัวลงอีก

ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน จีนได้ประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงกับฮ่องกง และเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมคิดถึงฮ่องกงขึ้นมา ว่าจากนี้ไปฮ่องกงคงไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ถึงแม้จะยังคงมีบะหมี่เนื้อขายอยู่ แต่บรรยากาศการกินคงต่างไปจากเดิมเมื่อกว่า 30 ปีก่อนที่ผมเคยกิน

ด้วยความคิดคำนึงเช่นนั้น ผมจึงตั้งใจที่จะเล่าเรื่องฮ่องกงเมื่อวันวาน ไม่ต่างกับที่ผมยังคิดถึงสกาลาเมื่อวันวาน ถึงแม้ทั้งสองที่นี้จะไม่มีอะไรที่เหมือนกันหรือโยงกันได้ก็ตามที แต่ด้วยเหตุที่ฮ่องกงมีประวัติศาสตร์มายาวนาน ฮ่องกงจึงมีเสน่ห์ที่ดึงดูดไปอีกแบบ

ผมจะพยายามดึงเสน่ห์นั้นออกมาให้ได้ ถึงแม้อาจทำได้ไม่ดีนักก็ตาม