เผยแพร่ |
---|
สถานีคิดเลขที่ 12 /สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร
————————–
เสียงปืนแตก
—————————
7 สิงหาคม 2563
จะครบ 55 ปี วันเสียงปืนแตก
ไม่อยากให้สังคมไทยกลับไปถึงจุดนั้นอีก
ทบทวนความจำ เป็นบทเรียนอีกครั้ง
มติชนออนไลน์ อ้างถึงเว็บไซต์ของอบต.โคกหินแฮ่ ( www.khokhinhae.com ) อ.เรณูนคร จ.นครพนม ให้ข้อมูลถึงบ้านนาบัว จุดเสียงปืนแตก ว่า
เป็นชุมชนตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2434 โดยชาวบ้าน 90 % อพยพมารวมกันเพราะไม่มีที่ทำกิน
ปี พ.ศ. 2445 ยกฐานะเป็นหมู่บ้าน
ปี พ.ศ. 2500 เริ่มมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองของฝ่ายต่อต้านรัฐบาล
ปี พ.ศ. 2504 มีการจับกุมราษฎรในหมู่บ้านข้อหาอันธพาล
นำไปขังลืมไว้ที่อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม และย้ายไปขังไว้ที่เรือนจำนครบาล กรุงเทพ ฯ
ปี พ.ศ. 2507 แม้ราษฎรจะถูกปล่อยตัวกลับมาสู่ภูมิลำเนาของตัวเอง
แต่รัฐบาลได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารและอาสาสมัคร มาเคลื่อนไหวปราบปรามราษฎรอย่างหนัก
ราษฎรในพื้นที่ทยอยเข้าป่าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.)มากขึ้น
วันที่ 7 สิงหาคม 2508 ทางการได้ส่งตำรวจทหารปราบปรามคอมมิวนิสต์อย่างหนัก ในพื้นที่รอยต่อสามอำเภอ คือ อำเภอธาตุพนม อำเภอเมือง อำเภอนาแก พื้นที่ระหว่างบ้านนาบัว บ้านหนองฮี บ้านดงอินำ
เกิดการปะทะขึ้นระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับสมาชิกพคท.นานประมาณ 45 นาที
ปรากฏว่าฝ่ายเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 4 นาย ฝ่ายพคท.เสียชีวิต 1 นาย
หลังจากนั้นทางราชการยิ่งปราบปรามมากยิ่งขึ้น
ผู้ใหญ่บ้านพร้อมกับราษฎรหลายคนในหมู่บ้าน ถูกจับในข้อหากระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์
ทางการยิ่งเร่งการปราบปรามมากยิ่งขึ้นไปอีก
สั่งให้ราษฎรทำรั้วรอบหมู่บ้านอย่างแน่นหนา
สั่งให้ชาวบ้านไปรายงานตัวก่อนออกไปทำไร่ทำนา และช่วงกลับมาบ้านอย่างเคร่งครัด
ถ้าคนไหนฝ่าฝืนจะถูกลงโทษอย่างหนัก เช่น เตะ ตี และนำไปคุมขังที่ค่ายทหารบ้านหนองฮี และส่งไปที่ค่ายทหารกองทัพภาคที่ 2 จังหวัดมุกดาหาร
เมื่อทางราชการเร่งมือปราบปราม ราษฎรก็ยิ่งหลั่งไหลเข้าร่วมต่อสู้กับพคท.มากยิ่งขึ้น
จนเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2508 พคท.เปิดการประชุมคณะกรรมการกรมการเมืองขึ้นที่ภูพาน
มีมติ ให้ประกาศการต่อสู้ด้วยอาวุธในเขตชนบทอย่างเป็นทางการ หลังตระเตรียมสร้างฐานที่มั่นในเขตป่าเขา มาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2506
และให้วันที่ 7 สิงหาคม เป็น “วันเสียงปืนแตก”
ถือเป็นวันเริ่มต้นของสงครามประชาชนในประเทศไทย
อันเป็นผลบานปลายจากความแตกแยกทางความคิด อุดมการณ์ และสุดท้ายนำมาสู่การจับอาวุธเข่นฆ่ากัน
นำมาสู่การสูญเสียของทั้ง 2 ฝ่ายอย่างเหลือคณานับ
และที่สุดก็ได้บทเรียนร่วมกันว่า ความรุนแรงและเข่นฆ่ากัน ไม่อาจนำไปสู่”ชัยชนะ”อันยั่งยืนได้
นอกจากหันหน้ามาเจรจาและรับฟังปัญหากันและกัน
ตามแนวทาง “การเมืองนำการทหาร”
ซึ่งถือเป็นเข็มนำอันสำคัญที่ทำให้ สงครามประชาชนยุติลง
แน่นอนว่าด้านสำคัญหนึ่งมาจาก”รัฐบาล”ที่เปิดกว้าง
ยอมเจรจากับพคท.ที่แม้จะมีแนวคิดอันตรายต่อชาติ
เพราะมุ่งล้ม”สถาบันหลัก”ของชาติทั้งหมด
จนนำมาสู่การร่วมพัฒนาชาติไทยในที่สุด
เราผ่าน สิ่งที่เลวร้ายสุด-สุด มาแล้ว
ทำไมจะย้อนกลับไปอีก
ทำไม ไม่รีบหาทางยุติความขัดแย้งทางความคิด ที่ยังไม่ได้ขยายบานปลายไปสูงสิ่งเลวร้ายในอดีต
เปิดกว้าง ลดช่องว่าง ทางความคิด ให้กับคนทุก รุ่นทุกฝ่าย เพื่อหาทางออกร่วมกัน
ดีกว่าตั้งป้อมใส่ว่าพวกนี้”สมคบคิด” ทำลาย”สถาบัน”หลักของชาติ
ต้อง”กำจัด”ไปจากพื้นแผ่นดินไทย
ทั้งที่เป็นแผ่นดินของคนไทยทุกคน