การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ เพื่อจะแหงนมองดาวบาดร้าวใจ

…ฉันคิดถึงเธอมากอยากจะบอก

แต่กระฉอกข้างในเกินใครเห็น

คือหยดหยาดบาดแผลเลือดแรเร้น

เกินจะเป็นเมียใครในยามนี้!

 

พับจดหมายใส่ซองทับกองเก็บ

แปลบอกเจ็บดั่งเนื้อบางเหลือที่

หรือสุดท้ายปลายทางอีกบางที

คือการขอธรณีโบกสีดำ

 

มีสายลมพรมผ่านหมู่บ้านเมื่อ

กลิ่นควันเจือบางเบาเข้าย่ำค่ำ

จักรยานคันเดิมเติมลมซ้ำ

บางจดจำพาฉันให้ไปจนถึง

 

บางพุ่มไม้ใกล้บ้านยังบานดอก

สีแดงออกชมพูอยู่ต้นหนึ่ง

เกสรและช่อบาง, อย่างลึกซึ้ง

ในคำนึงคล้ายเห็นเป็นบางใคร

 

ใครคนที่นุ่งซิ่นผินหลังอยู่

พลันพรั่งพรูยิ้มกว้างอย่างผู้ใหญ่

หวานรอยยิ้มพิมพ์ตามาจับใจ

“กินอะไรหรือยังพี่มานี่มะ”

 

จูงแขนฉันขึ้นเรือนเหมือนหนึ่งญาติ

เข้าเตรียมถาดลายโบตั๋นอันสวยสะ

เติมไฟฟืนเข้าสุมรุมกระทะ

อุ่นแกงเก่าเอาโอชะมาต้อนรับ

 

“แกงผักกาดธรรมดาพี่อย่าถือ

ของขายซื้อฉันไร้เงินเกินเอื้อมจับ

ไว้อีกหน่อยมีแรงค่อยแกงทับ

ทั้งลาบยำสำหรับรับรองเธอ”

 

เหมือนแสงแดดแผดอุ่นเข้าซุนอก

พลางร่วงตกหวิวหวามน้ำตาเอ่อ

จ้องกระดานบ้านเรือนเหมือนละเมอ

เซื่องซึมเหม่อสะท้อนใจรอนร้าว

 

โอ้ ชีวิตอับจนเป็นคนโง่

จากเล็กจนเติบโตยังโง่ง่าว

กี่ครั้งกันฝันหาฟ้าแจ่มดาว

ก็มืดหนาวฝนหลั่งทั้งเดือนปี

 

หางนกยูงฝรั่งยังยืนต้น

กระจ่างในใจจนวนย่ำที่

ความทรงจำย้ำกล่าวคราวคลุกคลี

กับคนดีแสนนับถือชื่อ “ชื่นใจ”

 

เหมือนมีฝนหล่นร่วงในทรวงอับ

จะถีบรถรีบกลับก็หาไม่

เพียงน้ำตาบ่าท้นสิ้นสนใคร

จนแสงไฟกะพริบขึ้นวิบวาม

 

พลันรถเครื่องคันใหญ่เปิดไฟหน้า

วกกลับมาเสียงก้องเชิงร้องถาม

“อยู่นี่เอง! ผู้ใหญ่ให้มาตาม

พี่หิ้วน้ำขวดซ่าเอามาปัน…

 

อ้าว! แล้วนั่นทำอะไรในความมืด

เอ๊ะ! ทำไมหน้าชืดเหลือเกินนั่น?”

เหมือนแมลงแมงไต่ในหูคัน

จึงเสียงฉันลอดปากว่า “อย่ายุ่งนัก!”

 

แม่พับเพียบหน้านิ่งน้องอิงเข่า

ขณะพ่อวางเหล้าเอาช้อนตัก

ควานเขี่ยทิ้งพริกแดงจากแกงฟัก

แล้วขยักตับไก่ตัดใส่จาน

 

“เอ้า! กินเสียเพลียใดให้หายสิ้น

มาลูกกินของลำทำในบ้าน

มา! หนุ่มมา! คดข้าวเอาใส่จาน

ชิมอาหารบ้านนี้ที่แม่ปรุง

 

เอ้า! แบ่งไก่ให้น้องอีกสองชิ้น

กินเลยกินลูกหล้าตัวหน้ายุ่ง!”

หอมกลิ่นข่าตะไคร้ใบผักปรุง

แต่คละคลุ้งคือภาพสาบคาวตา

 

ชายนักกลอนร่างใหญ่ใบหน้าชื่น

ร่วมครึกครื้นกับพ่อหัวร่อร่า

พูดคุยกันสนุกมุขขุดมา

ยิ่งดึกยิ่งเฮฮาประสาชาย

 

ดึกแล้ว

วิบดาวแววคลุมฟ้าเหมือนตาข่าย

แสงสะท้อนเข้าตาอยู่พร่าพราย

ถึงจดหมายระยิบยับทับเกลื่อนกอง

 

เหล่านั้นหรือคือฝันฉันสถิต

โดยลิขิตเขียนไว้แทนไฟส่อง

เก็บตะวันจันทร์ดาวเข้าสอดซอง

คอยทิ้งล่องถึงใครผู้ไกลตัว

 

ทุกลำนำคำกวีที่เพียรจด

จากปรากฏดีงามหรือทรามชั่ว

มีสิ่งหนึ่งอยู่นั่นที่พันพัว

หมองหม่นมัวเชือกมัดแน่นรัดรึง

 

คือถนนคับตีบยิ่งลีบแคบ

แม้เฝ้าแอบเดินเงียบเลียบทางหนึ่ง

สุดท้ายคือคุกคอกเหล็กตอกตรึง

จับเราขึงใต้พันธะประเพณี

 

เป็นผู้หญิงนุ่งซิ่นต่อกินข้าว

ฉลาดใดก็ให้ง่าวเสียที่นี่

เป็นผู้ชายขึ้นเรือนเหมือนภูมี

ต้องพัดวีต้อนรับขับสู้ไป

 

การแต่งงานจะมอบให้สิ่งใดบ้าง

จะเพื่อรื้อหรือเพื่อสร้างหนทางใหม่

การผัวเมียแท้จริงคือสิ่งใด

ถามเท่าใดดั่งดาวดับยิ่งอับจน

 

“เป็นอันว่าใจพี่อยู่ที่น้อง

ตามครรลองงามสวยด้วยเหตุผล

พ่อแม่เองเข้าใจในสองคน

ใช่เล่ห์กลพี่ฝากไว้ตั้งใจจริง

 

อายุน้องตอนนี้กี่ปีเล่า

อย่าแก่เฒ่าคาตัวกลัวทุกสิ่ง

มาเถอะรับรสรักมาพักพิง

แอบอุ่นอิงอกพี่ที่กว้างพอ

 

ตัวพี่เองเก่งกลอนสอนมามาก

ย่อมมิยากหากจะให้จูงไปต่อ

ตัดสินใจเร็วเร็วนะพี่จะรอ

มาพี่ขอหมั้นด้วยสร้อยร้อยสัญญา”

 

แม่ลุกจากวงข้าวไปโดยไม่พูด

พ่อตักตูดไก่ขึ้นลิ้มพลางยิ้มร่า

น้องรีบตามแม่ไปไม่นานช้า

ฉันลุกมาโดยเงียบเงียบเหยียบบันได

 

เพื่อจะลงมาใต้ถุนอันคุ้นกลิ่น

เพื่อจะยินเสียงลมยังพรมไผ่

เพื่อจะแหงนมองดาวบาดร้าวใจ

เพื่อจะให้ชังบางอย่างที่หว่างขา