มาดามหลูหลี / 37 Seconds : เพียงเสี้ยวเวลา 37 วินาที

มาดามหลูหลี[email protected]

ญี่ปุ่น ประเทศซึ่งมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นโดยตลอด เพราะคนสุขภาพดีมีอายุยืน รัฐบาลส่งเสริมให้ผู้สูงวัยเหล่านี้ทำงานเป็นอาสาสมัครคอยแนะนำนักท่องเที่ยว และงานอื่นๆ

นอกจากทำเพื่อผู้สูงอายุ สิ่งที่พบเห็นคือการอำนวยความสะดวกโดยเฉพาะให้กับผู้พิการ ไม่ว่าจะเป็นทางเท้า, ลิฟต์ แม้กระทั่งรถเมล์รถไฟฟ้า ที่มีทางราบและสัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อผู้พิการในทุกรูปแบบ

37 seconds “เมื่อยูมะหยุดหายใจ 37 นาที” หนังญี่ปุ่นที่เล่าเรื่องของยูมะ ทาคาดะ (รับบทโดยเมอิ คายามะ หญิงสาวเป็นผู้พิการจริงๆ) เด็กสาวพิการต้องนั่งบนรถวีลแชร์ (Wheelchair) เธอป่วยเป็นโรคสมองพิการ (Cerebral Palsy) เป็นความผิดปกติที่เกิดกับเด็กทารกซึ่งหยุดหายใจในช่วงเวลาหนึ่ง จนสมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวได้รับความเสียหาย ส่งผลต่อการควบคุมกล้ามเนื้อ การทรงตัว และการเคลื่อนไหวร่างกายไปตลอดชีวิต

ยูมะอยู่กับแม่ (มิตสุสุ คันโนะ) โดยแม่จะดูแลเธอทุกอย่างในชีวิตประจำวัน ทั้งการอาบน้ำแต่งตัวให้ ซึ่งดูเหมือนแม่จะมีความสุขที่ได้ทำสิ่งเหล่านี้

แต่ยูมะอยากทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แม้แต่การเดินทาง นั่งรถเมล์หรือรถไฟฟ้าไปส่งงานต้นฉบับการ์ตูนมังงะ ที่เธอวาดเป็นงานเพื่อการเลี้ยงชีพ

ซึ่งที่จริงแล้วยูมะสามารถทำงานอยู่ที่บ้านได้ แต่ชีวิตคงน่าเบื่อ ทั้งการได้ออกนอกบ้านทำให้พบเจอผู้คนอันเป็นวัตถุดิบสำหรับงานวาดเขียนของเธอ

ยูมะส่งงานให้กับซากายะ (มิโดริ ฮากิวาระ) บล็อกเกอร์ (Blogger) ดัง ซึ่งเป็นเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวของเธอ แต่ซากายะกลับเอางานของยูมะแอบอ้างเป็นงานของตัวเอง ทั้งยังไม่เคยแนะนำช่วยให้ยูมะมีงานเป็นของตัวเอง

ในงานเปิดตัวหนังสือของซากายะ ยูมะซื้อช่อดอกไม้ไปแสดงความยินดี แต่ซากายะกลับไม่สนใจยูมะ ทำราวกับว่ายูมะไม่มีตัวตน

 

ยูมะเพียงพิการทางร่างกาย แต่สมองส่วนความคิดไม่ได้โง่ เธอจึงนำผลงานไปเสนอที่สำนักพิมพ์อื่น บรรณาธิการสาว (ยูกะ อิทายะ) ได้ดูผลงานของยูมะแล้วแนะนำให้เธอเขียนเรื่องเกี่ยวกับเซ็กซ์ (Sex) และให้ยูมะหาประสบการณ์ตรงเพื่อนำมาสร้างผลงาน

เมื่อดูถึงตอนนี้ ถ้าเป็นคนปกติคงถอดใจไปแล้ว แต่ที่เกินความคาดหมายคือ ยูมะกลับเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หวั่นกลัว เธอพิการเพียงร่างกาย แต่หัวใจเข้มแข็งเกินร้อย

ยูมะไปที่ย่านโคมแดง Kabukicho เพื่อสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตเพศศึกษา ซึ่งหนังทำให้ลุ้นแบบอึดอัด ยูมะพบเจอเหตุการณ์ที่แม้แต่ตัวเองก็ควบคุมไม่ได้

หากในร้ายมีดี เธอได้พบกับหญิงบริการ (มาโกโกะ วาตานาเบะ) และคนขับรถ (ชุนซุเกะ ไดโตะ) ที่มีน้ำใจให้ความช่วยเหลือเธอหลายอย่าง

รวมทั้งเป็นเพื่อนเดินทางมาเมืองไทย ทำให้เธอได้รู้เรื่องราวชีวิตของตัวเองและครอบครัวอย่างลึกซึ้ง

ยูมะต้องการพึ่งพาตัวเอง โดยมีแรงผลักดันจากแม่ที่ไม่ยอมปล่อยมือให้เธอเดินด้วยตัวเอง และซากายะเพื่อนผู้ไม่จริงใจและเอาเปรียบ ให้เธอได้เรียนรู้และเข้าใจผู้คนบนโลกใบนี้มากขึ้น คนที่รู้จักดีกลับไม่หวังดีหรือเชื่อใจ

ขณะที่บางคนซึ่งแค่พบกันครั้งแรกในสถานที่อโคจร กลับให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มใจ

 

37 Seconds ผลงานกำกับฯ เรื่องแรกของผู้กำกับฯ ที่ใช้ชื่อสั้นๆ ว่า “ฮิคาริ” มีชื่อจริงว่า มิตสุโยะ มิยาซากิ สร้างชื่อจากหนังสั้นเรื่อง Tsuyako (2011)

ความน่าสนใจคือการใช้นักแสดงหน้าใหม่อายุ 23 ปีที่ร่างกายพิการเพราะโรคสมองพิการจริงๆ อย่างเมอิ คายามะ มารับบทยูมะ ทาคาดะ ซึ่งแสดงได้ดีมาก จนไม่คิดว่าผู้กำกับฯ จะให้คนพิการมาแสดงบทนี้จริง

หนังได้รับเลือกให้เข้าฉายในสาย Panorama เทศกาลหนังนานาชาติเมืองเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ในปี ค.ศ.2019 และสามารถคว้ามาได้ถึง 2 รางวัลคือ รางวัลขวัญใจผู้ชมประเภทหนังที่สร้างจากเรื่องแต่ง และรางวัล C.I.C.A.E. หรือรางวัลจากสหพันธ์โรงหนังอาร์ตเฮาส์นานาชาติ และได้รับเชิญให้เข้าฉายในอีกหลายเทศกาล

โดยหนังได้พัฒนาจากบทในเวิร์กช็อปจากสถาบันซันแดนซ์ และสถานีโทรทัศน์ NHK ซึ่งทำการสัมภาษณ์ความเห็นของผู้พิการในญี่ปุ่น รวมไปถึงเมอิ เด็กสาวที่มาแสดงในหนังเรื่องนี้ มุมมองของเธอได้ถูกนำไปใช้และปรับเปลี่ยนจากบทดั้งเดิมอีกด้วย

ทั้งนี้ เพื่อให้หนังถ่ายทอดปัญหาของคนพิการในประเทศได้มากที่สุด

 

หนังเล่าเรื่องเรียบง่ายราวกับสารคดีชีวิต ให้คนดูมีส่วนร่วมด้วยการส่งใจช่วยลุ้นว่ายูมะจะผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปได้หรือไม่ ขณะเดียวกัน หนังก็ได้ให้กำลังใจแก่ผู้คน

อย่างที่ยูมะพูดว่า “จากอวกาศ ชีวิตมนุษย์เป็นเหมือนแค่ชั่วพริบตา บางครั้งฉันก็คิดว่า…ฉันเป็นแค่หนึ่งในการทดลองของพวกเขา เหมือนกับโครงงานวิทยาศาสตร์…”

ในขณะเดียวกัน เราได้เรียนรู้ความหมายของชื่อเรื่อง “เมื่อยูมะเกิด เธอไม่หายใจเป็นเวลา 37 วินาที” ทำให้เธอเป็นอัมพาตสมองบางส่วน ฮิคาริได้ทิ้งเราไว้กับภาพยนตร์ที่สดใหม่และมีชีวิตชีวาซึ่งรวมไปถึงชัยชนะของหญิงสาวคนหนึ่งเพื่อเฉลิมฉลองความมหัศจรรย์ของชีวิตประจำวัน

ดูหนังจบเกิดแรงฮึดสู้!

วาซาบิ : ขอบคุณข้อมูลจาก www.playinone.com