เครื่องเคียงข้างจอ / วัชระ แวววุฒินันท์ / รสชาติแห่งการรอคอย

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

รสชาติแห่งการรอคอย

 

ผมกำลังจะพูดถึงทีมฟุตบอล “สโมสรลิเวอร์พูล” แห่งประเทศอังกฤษครับ

สำหรับแฟนๆ ลูกหนัง คงรู้กันดีอยู่แล้วว่า ลิเวอร์พูลได้เป็นแชมป์ของพรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาล 2019-2020 ไปแบบสุดจะบรรยาย

เป็นแชมป์ที่มีเบื้องหลังให้พูดต่อกันมากมายไม่รู้จบ

เป็นแชมป์ที่รอคอยมานานถึง 30 ปี รอแล้วรอเล่า จนถูกเพื่อนสโมสรอื่นล้อเลียนเอา โดยเฉพาะกับคู่ปรับตลอดกาลอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

 

วันที่ตีพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์นี้ ตกในแมตช์ก่อนสุดท้ายของเกมเตะ ที่ลิเวอร์พูลเปิดบ้านรับการมาเยือนของสโมสรเชลซี จะเป็นวันที่นักเตะลิเวอร์พูลจะได้ชูโทรฟี่แชมป์อย่างสมศักดิ์ศรี

อันที่จริงการเป็นแชมป์โดยกฎกติกาแล้ว ลิเวอร์พูลได้แชมป์ไปแล้วเมื่อเกือบ 3 สัปดาห์ก่อน เมื่อเชลซีเจอกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเป็นฝ่ายชนะไปด้วยสกอร์ 2-1 ทำให้ลิเวอร์พูลได้แชมป์ไปโดยปริยาย เพราะคะแนนของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่ตามมาเป็นอันดับสองไล่ไม่ทันแล้วแน่นอน

วันที่เชลซีแข่งในแมตช์ที่ว่า ข่าวถ่ายทอดให้เห็นนักเตะและแฟนๆ หงส์แดงเฝ้าดูหน้าจอ แบบ new normal พอนกหวีดกรรมการเป่าปรี๊ดหมดเวลาเท่านั้น ทุกคนก็กระโดดกอดกันเริงร่าท้าโควิดเลยทีเดียวด้วยความดีใจ ที่ทีมรักของตนได้แชมป์ (เสียที)

แต่อาการดีใจก็ยังไม่สะเด็ดน้ำ จนกว่าจะได้ชูถ้วยจริงๆ

และโอกาสที่รอคอยก็จะมาถึงในวันที่ 23 กรกฎาคมนี้แล้ว ขอแสดงความยินดีกับสโมสรและแฟนๆ หงส์แดงด้วยนะครับ ยิ่งถ้าวันนั้นทีมหงส์เอาชนะทีมสิงห์ได้ก็จะเป็นการฉลองชัยที่สมบูรณ์แบบในอารมณ์โดยแท้จริง

 

การได้แชมป์ครั้งนี้ของลิเวอร์พูลมีเบื้องหลังซ่อนอยู่มากมาย จนทำให้การได้แชมป์ครั้งนี้มันพิเศษเกินปกติหลายเท่านัก เช่น

ลิเวอร์พูลได้แชมป์ในลีกสูงสุดของอังกฤษครั้งล่าสุดเมื่อปี 1989-1990 นั่นคือเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นยังใช้ชื่อดิวิชั่น 1 อยู่

คิดดูสิครับ 30 ปีนะครับ ไม่ใช่ช่วงเวลาสั้นๆ เลย ถ้ามีลูก ลูกก็โตพอจะมีครอบครัวเองได้แล้วด้วยซ้ำ และที่น่าคิดไปอีกคือ ก่อนจะเปลี่ยนชื่อลีกสูงสุดมาเป็นพรีเมียร์ลีก สโมสรลิเวอร์พูลเคยได้เป็นแชมป์ลีกมาแล้วถึง 18 ครั้ง โอ้โฮ…ช่างน่าภูมิใจจริงๆ เป็นห้วงเวลาของความยิ่งใหญ่ของสโมสรนี้ที่มีแฟนทั่วโลกหลายร้อยล้านคน

แต่อะไรทำให้เป็นอย่างนี้ เหมือนมีคุณไสยมาเกี่ยวข้อง หรือไม่ประธานสโมสรก็โดนของเล่นงาน เพราะตั้งแต่เปลี่ยนชื่อเป็นพรีเมียร์ลีกในปี 1990-1991 แล้ว ก็มียันต์กันผีมาทำให้ลิเวอร์พูลไม่เคยได้สัมผัสแชมป์ลีกสูงสุดอีกเลย

มีที่ใกล้เคียงอยู่รอมร่อก็ในศึกใน 2 ฤดูกาลที่ผ่านมาคือ ในปี 2014 ที่ลิเวอร์พูลใกล้จะคว้าแชมป์อยู่แล้ว แต่ในนัดท้ายๆ ฤดูกาลที่ลิเวอร์พูลเจอกับเชลซี นักเตะในตำนานของหงส์แดงอย่างสตีเว่น เจอร์ราด เกิดเตะบอลวืดซะยังงั้น จนทำให้เชลซีฉกบอลไปยิง และทำแต้มชนะไปในที่สุด เล่นเอาแฟนๆ หงส์แดงน้ำตาตก และปีนั้นหงส์แดงก็ได้รองแชมป์โดยทำแต้มห่างจากแมนเชสเตอร์ซิตี้อยู่ 2 คะแนน ต้องรอคอยโอกาสแชมป์ต่อไป

นับว่าเป็นการลื่นล้มที่ราคาแพงมาก

 

ต่อมาในศึกปี 2018-2019 ลิเวอร์พูลมีทีมที่ยอดเยี่ยมลงตัวอย่างมาก ทำคะแนนในลีกได้สูงลิ่วถึง 97 คะแนน ถ้าเป็นปีก่อนหน้านี้คงได้แชมป์ไปครองแล้ว แต่สุดท้ายก็ได้แค่รองแชมป์หลังทำแต้มน้อยกว่าแชมป์อย่างแมนฯ ซิตี้แค่คะแนนเดียว มันช่างน่าเจ็บใจจริงๆ เชียว…และแฟนๆ ก็คงรอต่อไป

มาปีนี้ฤดูกาล 2019-2020 ที่ลิเวอร์พูลเล่นได้ดีมากเก็บเกี่ยวสะสมคะแนนนำห่างอันดับที่สองอย่างแมนฯ ซิตี้กว่า 20 คะแนน ในคณะที่เหลือเกมเตะอีกแค่ 7-8 เกมเท่านั้น ไม่มีใครคิดว่าปีนี้ลิเวอร์พูลจะพลาดอีก รอเพียงว่าจะได้ชูถ้วยวันไหนเท่านั้น

แล้วก็เหมือนฟ้าแกล้ง ที่จู่ๆ ก็ประทานไวรัสโควิด-19 มาสู่โลก ทำให้ทุกอย่างต้องหยุดชะงักไปหมด รวมทั้งการแข่งขันกีฬาต่างๆ ด้วย

เป็นภาวะที่อึมครึมมากว่าจะเอายังไง จะกลับมาเตะได้จริงไหม เมื่อไหร่ แล้วถ้าเตะไม่ได้ล่ะจะเกิดอะไรขึ้น

มีกระแสข่าวออกมาหลายทางเกี่ยวกับตำแหน่งแชมป์ของลิเวอร์พูล ถึงขนาดบางสายบอกว่าอาจถือว่าปีนี้เป็นโมฆะเลยก็ได้ นั่นคือลิเวอร์พูลก็จะอดได้เป็นแชมป์แบบช็อกโลก

คิดถึงหัวอกแฟนๆ ลิเวอร์พูลว่าจะเป็นยังไง เหมือนแก้วจะลอยลงสู่อุ้งมืออยู่แล้วก็ถูกกระชากไป และไม่รู้เลยว่าจะได้คืนมาไหม เมื่อไหร่ จนเมื่อศึกพรีเมียร์ลีกกลับมาเตะได้จึงใจชื้นขึ้น

ถึงอย่างนั้น การรับถ้วยแชมป์ลีกสูงสุดของลิเวอร์พูลก็เป็นแบบ “ไม่สุดอารมณ์” เพราะติด New Normal จะเป็นการฉลองชัยในสนามที่ไม่มีแฟนบอลเข้าร่วมแสดงความยินดี ไม่มีเสียงร้องเพลงกระหึ่มให้หัวใจพองโต ไม่มีเสียงเฮดังๆ ตอนกัปตันทีมชูถ้วย

ช่างเป็นบรรยากาศที่ขัดแย้งกับการรอคอยมาอย่างยาวนานถึง 30 ปีมากเลย โอ…พระเจ้า

 

จากเรื่องนี้ทำให้เรามองเห็นอะไรหลายอย่างชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะกับคำที่ว่า “โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน”

จริงๆ คำคำนี้ก็ได้ยินมาเสมอ และก็เข้าใจและเห็นด้วย ซึ่งก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ได้ชัดแจ้งเช่นเหตุการณ์นี้ ที่ทำให้เราต้องฉุกคิดว่าอย่าประมาท อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ อะไรก็เกิดขึ้นได้จริงๆ

ต่อมาคือสอนเราว่า ไม่ว่าจะได้ประสบพบเจอกับอะไรก็อย่าได้ “ยินดียินร้าย” มากเกินไป ให้รู้สึกแค่กลางๆ เพราะหากมันเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาเราจะได้ไม่รู้สึกเจ็บปวด ผิดหวังมากนัก

และสิ่งที่ต้องคิดควบคู่กันไปด้วยก็คือ การคิดแบบ “ถ้าเกิดสิ่งนี้ขึ้น เราจะทำยังไง” เป็นการเตรียมรับมือกับทุกสิ่งไว้ให้พร้อมมากที่สุด หากเกิดขึ้นจริงๆ เราจะได้ตั้งรับทัน

 

ย้อนกลับมาที่สโมสรลิเวอร์พูลอีกครั้ง จะว่าไปแล้วหากคิดในทางธรรมะที่ว่า “อะไรเกิดขึ้นย่อมดีเสมอ” ก็อาจกล่าวได้ว่า การฉลองชัยรับถ้วยแชมป์ลีกครั้งนี้ของลิเวอร์พูลจะถูกจารึกเป็นหน้าหนึ่งที่สำคัญของประวัติศาสตร์สโมสร และของพรีเมียร์ลีกอังกฤษแน่นอน

เป็นความทรงจำที่พิเศษมากๆ แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน เชื่อว่าโลกจะจดจำและกล่าวขานไปนาน

และมันทำให้รสชาติของการรับถ้วยนั้นมันพิเศษจริงๆ

เพราะอะไรที่ได้มาง่าย ไม่ต้องใช้ความพยายามแสนสาหัส ผ่านความผิดหวังมานับไม่ถ้วนก็ย่อมจะลดทอนคุณค่าในสิ่งที่ได้มาลงไป

เหมือนเก้าอี้ของผู้นำพรรคการเมืองบางพรรคนั่นปะไร

เอ๊ะ พูดเรื่องฟุตบอลอยู่ดีๆ มิใช่หรือ ไฉนเลยจึงแวะเวียนไปหาเรื่องได้เช่นนี้หนอตู

งั้นขอจบก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะพลาดชมหงส์ชูถ้วยเสียเปล่าๆ ปลี้ๆ