ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 กรกฎาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
สุจิตต์ วงษ์เทศ
อยุธยา ชักโคม เดือน 12
‘จองเปรียง’ แปลงเป็นพุทธ
“เดือนสิบเอ็ดน้ำนอง เดือนสิบสองน้ำทรง” ในพระนครศรีอยุธยาซึ่งเป็น “รัฐนาฏกรรม” มีประเพณีพิธีกรรมหลายอย่างเกี่ยวกับน้ำต่อเนื่องกัน เดือน 11-12 เพื่อขอความอุดมสมบูรณ์ในพืชพรรณว่านยาข้าวปลาอาหาร
เดือน 11 มีนาฏกรรมแห่งรัฐ แข่งเรือเสี่ยงทายเรียก “อาสยุช” ระหว่างเรือพระเจ้าแผ่นดินกับเรือพระอัครมเหสี ส่วนประชาชนไพร่บ้านพลเมืองในชุมชนริมแม่น้ำลำคลองร่วมกันแข่งเรือสนุกมีเล่นพนันขันต่อ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการไล่น้ำส่งน้ำขอให้ลดเพื่อเตรียมเกี่ยวข้าว
ขณะเดียวกันก็เริ่มลอยเครื่องเซ่นด้วยโคม (แบบจีน) และภาชนะจากวัสดุต่างๆ ที่ลอยน้ำ เช่น กระบอกไผ่, หยวกกล้วย เป็นต้น
เดือน 12 รัฐนาฏกรรมมีพิธี “จองเปรียง” โดยบรรดาพราหมณ์และขุนนางข้าราชการฝ่ายหน้าทำพิธีชักโคมไฟจากไขสัตว์ขึ้นยอดเสา ส่วนฝ่ายในล้วนพระสนมกำนัลลอยโคมส่งน้ำขอให้น้ำลดลงเร็วๆ เพื่อชาวนาเข้าทุ่งนาเกี่ยวข้าว
ประชาชนพลเมืองไพร่บ้านพากันลอยเครื่องเซ่นขอขมาเจ้าแม่แห่งน้ำและดินด้วยโคมกระดาษมีจุดไฟข้างใน
ดัดแปลงเป็นพิธีพุทธ
“จองเปรียง” เดือน 12 หมายถึง พิธีชักโคมด้วยสายรอกขึ้นแขวนบนยอดเสา (แต่เดิมเป็นพิธีพราหมณ์ในอินเดีย เรียก “ทิวาลี” บูชาพระวิษณุ) ข้างในโคมมีตะกรันจุดไฟจากไส้ทำด้วยฝ้ายชุบไขสัตว์ (วัวควาย) เรียกเป็นภาษามอญว่าจองเปรียง
จองเปรียง ชักโคม ถูกดัดแปลงเป็นพิธีพุทธตั้งแต่สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา ครั้นถึงสมัยอยุธยาตอนต้นจึงพบในกฎมณเฑียรบาลว่าทำพิธีในทุ่งพระเมรุกลางพระนคร กับที่วัดพุทไธศวรรย์ นอกกำแพงพระนคร
ชักโคมในพิธีจองเปรียงทำเพื่ออะไรในทางพุทธศาสนา? ไม่พบคำอธิบายสมัยอยุธยา แต่พบร่องรอยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ในหนังสือเรื่องนางนพมาศ (แต่งสมัย ร.3) ว่าชักโคมบูชาพระมหาเกศธาตุจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ถึงกระนั้นสมัยอยุธยาตอนต้นพิธีชักโคม “จองเปรียง” น่าจะมีความหมายเกี่ยวข้องหมดทั้งผี, พราหมณ์, พุทธ โดยจับได้จากกฎมณเฑียรบาลพรรณนาโดยสรุปว่ามีการละเล่น 2 อย่าง ได้แก่ จุดดอกไม้ไฟ, เล่นหนังใหญ่ ในสถานที่ 2 แห่ง คือ ท้องพระเมรุ อยู่กลางพระนคร กับวัดพุทไธศวรรย์ อยู่นอกกำแพงพระนคร
- ท้องพระเมรุ ลานกว้างหน้าวิหารพระมงคลบพิตร อยู่นอกกำแพงด้านทิศใต้วัดพระศรีสรรเพชญ์
- วัดพุทไธศวรรย์ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา นอกเกาะเมืองด้านทิศใต้ บริเวณที่เรียก “เวียงเหล็ก” ของพระเจ้าอู่ทอง “วีรบุรุษในตำนาน”
พระเจ้าแผ่นดินเสด็จประทับเรือพระที่นั่ง พร้อมสมเด็จพระอัครมเหสี, แม่หยัวเจ้าเมือง, ลูกเธอหลานเธอ, พระสนม
เรือขบวนเสด็จมีจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะมีเรือบรรเลง 2 ลำ ขนาบ 2 ข้าง ลำซ้ายบรรเลงดนตรีร้องเรื่องยอพระเกียรติ ส่วนลำขวาบรรเลงมโหรีร้องขับลำเรื่องพงศาวดาร
เมื่อเสด็จลงเรือพระที่นั่งทรงตัดเชือกผูกสมอเป็นสัญลักษณ์ทำพิธีปล่อยน้ำไหลลดลงจะได้ไม่ท่วมไร่นาและท่วมตลิ่ง
ต่อจากนั้นเรือพระที่นั่งล่องถึงหน้าวัดพุทไธศวรรย์ ทรงทำพิธีส่งน้ำให้น้ำลด บางปีเสด็จทำพิธีทรงพัชนีโบกไล่น้ำล่องลงไปถึงท้ายบ้านรุน (ทางใต้วัดพนัญเชิง ใกล้เกาะเรียน)
[ข้อความเหล่านี้ตีความโดยคาดเดาจากกฎมณเฑียรบาล ซึ่งใช้ภาษาเก่าเข้าใจยากมาก จึงอาจบกพร่องผิดพลาดได้]
ทวาทศมาส (โคลงดั้น) แต่งสมัยอยุธยาตอนต้น พรรณนาว่าเดือน 12 แต่งโคมจุดไฟจากน้ำมันไขสัตว์ แล้วชักโคมด้วยรอกขึ้นยอดเสาตามชุมชนบนบกและริมแม่น้ำลำคลองในพระนคร บรรดาหญิงชายบ้างก็ล่องเรือร่วมกันร้องรำทำเพลงเฉลิมฉลองสนุกสนานลั่นกลางพระนคร มีโคลงบทหนึ่ง ว่า
๏ กรรดึกเดือนตั้งแต่ง โคมถวาย
ทุกท่วยหญิงชายแสวง ล่องเหล้น
ขับซอปี่แคนหลาย เพลงพาทย์
ติ้งติ่งนิ้วน้าวเต้น ร่อนรำ (130)
เจ้าฟ้ากุ้ง แต่งนิราศธารโศก สมัยอยุธยาตอนปลายพรรณนาพิธีชักโคมเดือน 12 มีนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (พุทธศาสนา) ในพระนครเกาะเมือง ว่า
๏ เดือนสิบสองถ่องแถวโคม แสงสว่างโพยมโสมนัสา
เรืองรุ่งกรุงอยุธยา วันทาแล้วแก้วไป่เห็น ฯ
๏ กติกมาศถ้อง แถวโคม
แสงสว่างแลลอยโพยม ผ่องแผ้ว
อยุธยาเปรียบแสงโสม ใสส่อง
ชมชื่นวันทาแล้ว นิ่มน้องฤๅเห็น (62)
“ทิวาลี” พิธีบูชาพระวิษณุ
ชักโคมจองเปรียงสมัยอยุธยาตอนต้น น่าจะดัดแปลงเป็นพุทธจากพิธีพราหมณ์บูชาพระวิษณุ เรียก “ทิวาลี” มีในอินเดีย
ทิวาลี หมายถึง งานตามประทีปโคมไฟเป็นแถวเป็นแนวในคืนพระจันทร์เต็มดวงใกล้หมู่ดาวกฤติกา (ดาวลูกไก่) กลางเดือน 12 ระหว่างเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน
งานทิวาลีเพื่อบูชาพระวิษณุ (พระนารายณ์) แต่บางท้องถิ่นอาจอ้างว่าบูชาพระลักษมี (ชายาพระวิษณุ), บูชาพระกฤษณะ, บูชาพระราม หรือบูชามหาเทพองค์อื่นๆ อีกก็ได้ นอกจากนั้นยังอาจเรียกชื่ออย่างอื่นได้อีก คือ ทีปาลี, ทีปาวลี ล้วนงานเดียวกับทิวาลี
รัฐเบงกอลอยู่ทางตะวันออกของอินเดีย งานทิวาลีมีชักโคมไฟกับจุดดอกไม้ไฟ
ชักโคมไฟ ขึ้นยอดเสาสูงๆ เรียงรายกลางย่านชุมชน หรือกลางหมู่บ้าน
จุดดอกไม้ไฟ โดยบรรจุดินปืนใส่กระบอกไผ่ขนาดยาว แล้วจุดมีประกายไฟพุ่งออกมาเป็นพะเนียง
[“ทิวาลี” พิธีบูชาพระวิษณุ จากคำบอกเล่าเบื้องต้นของคมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง (คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร) ส่วนข้อมูลประเพณีพิธีกรรมมีโดยพิสดารได้จากหนังสือ คนกับพระเจ้า ของ ผศ.ดร.พรหมศักดิ์ เจิมสวัสดิ์ อดีตอาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำนักพิมพ์โคมทอง พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2523 หน้า 153-156]