มนัส สัตยารักษ์ | อย่าวางใจสื่อ

พล.อ.เจมส์ แม็กคอลวิลล์ ผบ.ทบ.สหรัฐอเมริกาและคณะ เดินทางมาเยือนประเทศไทยระหว่างวันที่ 9-10 กรกฎาคมนี้ ในฐานะแขกของกองทัพบกไทย หลังได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าราชอาณาจักรตามข้อตกลงพิเศษในฐานะแขกทางการ ที่เข้าเงื่อนไขไม่ต้องกักตัว 14 วัน แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการ 6 ข้อของ ศบค.อย่างเคร่งครัด

สื่อเมืองไทยก็เกิดสงครามทันที

วินาทีแรกที่พบข่าวนี้ในสื่อโซเชียล ใจเต้นตูมตามเหมือน “สงครามศักดิ์ศรี” ระหว่างสหรัฐกับไทยกำลังจะเกิดขึ้นอยู่รอมร่อแล้ว เป็นสงครามศักดิ์ศรีของการจะตรวจหรือไม่ยอมให้ตรวจ “โควิด-19” ของ 2 ประเทศ

อ่านไป-อ่านมาก็ค่อยๆ คลี่คลายสบายใจไปได้…เพราะว่ามันเป็นแค่ “สงครามปากหมา” ระหว่างคนอยากด่าสหรัฐกับคนอยากด่ารัฐบาลไทยเท่านั้น

ไปได้ความจริงและคำยืนยันจากเพจของ Wassana Nanuam ที่ว่าไทยกำลังจะเสียศักดิ์ศรีเพราะเป็นประชาชนชั้นสองของสหรัฐนั้น “เป็นข่าวที่ไม่จริงอย่างสิ้นเชิง”

Wassana Nanuam แจงยาวว่า เป็นการพบปะเยี่ยมเยือนกันอย่างที่เคยทำมาทุกปี ผบ.ทบ.สหรัฐกับคณะทำตามมาตรการและปฏิบัติตามระเบียบของทางการไทยโดยไม่มีข้อแม้ ทั้งนี้ ได้อ้างคำยืนยันจาก ผบ.ทบ.สหรัฐ และ ผบ.ทบ.ไทย พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ตามมาด้วย

แม้ว่าโดยปกติส่วนตัวผมจะไม่ค่อยเชื่อทั้ง Wassana Nanuam และ ผบ.ทบ.ของทั้ง 2 ชาติก็ตาม แต่ก็ยังน่ารับฟังกว่า “ข่าวเท็จอย่างสิ้นเชิง” เป็นไหนๆ

ในเวลาไล่เลี่ยกัน มีภาพงานเลี้ยงฉลองวันชาติที่สถานทูตสหรัฐ และภาพคณะทูตสหรัฐเข้าพบนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีของไทย ทั้งสองภาพคนอเมริกันไม่มีใครใส่หน้ากากเลย ที่สถานทูตสหรัฐ คนไทยที่ไปในงานไม่มีใครใส่หน้ากากเช่นกัน รวมทั้งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมคิดและคณะในฐานะเจ้าภาพต้อนรับและเจรจาพูดคุยประจันหน้ากับคณะทูตเท่านั้นที่ใส่หน้ากากอย่างเคร่งครัดตามมาตรการและระเบียบป้องกันโควิด-19 ของทางการไทย

แน่นอนว่าทั้ง 2 ภาพและ 2 ชาติ ต่างมีถ้อยคำ hate speech จากสื่อทำนองเดียวกับกรณี ผบ.ทบ.สหรัฐเยือนไทยนั่นเอง จนกระทั่งมีข่าวว่า รมต.อนุทินยอมรับผิดที่ “การ์ดตก” และตามลบรูปหลังถูกวิจารณ์เรื่องไม่สวมหน้ากากอนามัยและไม่เว้นระยะห่าง

เกิดเป็นคนไทยที่ผู้มีอำนาจชอบออกแบบกฎระเบียบแปลกๆ โดยไม่มีข้อยกเว้นหรือช่องว่างนี่ วางตัวแสนลำบากเสียจริงๆ ยิ่งเกิดเป็นรัฐมนตรียิ่งลำบากกว่าหลายเท่า

ถ้าเราตามไปฟังคนอเมริกันพูดถึงการสวมหน้ากากอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์ เราจะเข้าใจความคิดความอ่านของเขา เราจะรู้ว่ามันไม่ใช่แค่ประธานาธิบดีทรัมป์เท่านั้นที่รังเกียจหน้ากาก

“พวกเขาต้องการทำลายระบบการหายใจที่พระเจ้าประทานให้”

“เมื่อพระเจ้าสร้างมนุษย์นั้น พระเจ้ามอบลมหายใจของพระองค์มาด้วย พวกคุณเอาอำนาจจากไหนมาควบคุมการหายใจของมนุษย์”

“พวกคุณพยายามยัดเยียดความคิดทางการเมืองใส่เรา พวกคุณกำลังทำตามกฎของปีศาจ พวกคุณจะถูกพระเจ้าลงโทษ คุณหนีพระเจ้าไม่ได้ แม้จะยืนห่างถึง 6 ฟุตก็ตาม”

“การสื่อสารของมนุษย์เราบางครั้งก็ไม่ใช้คำพูด แต่รวมถึงการแสดงสีหน้าและท่าทาง การใส่หน้ากากปิดบังใบหน้าและอยู่ในระยะห่างทางกายระหว่างผู้สื่อสารเป็นอุปสรรคในการสื่อสาร เด็กเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นใคร ใครเป็นคนดี หรือใครเป็นคนร้าย”

“สวมหน้ากากเป็นลัทธิซาตาน เป็นสัญลักษณ์ของความตาย”

“มันก็เหตุผลเดียวกับที่อิฉันไม่ใส่ชั้นในนั่นแหละ พวกคุณเป็นบ้าไปแล้ว ควรไปตรวจสุขภาพจิตนะ”

“เราเป็นประเทศเสรี มีสิทธิและเสรีภาพเท่ากัน นี่คืออเมริกา ไม่ใช่คิวบา และไม่ใช่คอมมิวนิสต์”

ฝรั่งคงจะไม่ได้อยากแสดงว่าพวกเขามีอภิสิทธิ์หรือมีศักดิ์ศรีเหนือกว่าประเทศอื่นหรือคนชาติอื่นหรอก แต่เขาศรัทธาในพระเจ้าจึงไม่ได้คิดแบบวิทยาศาสตร์อย่างเรา เขาเชื่อว่า “พระเจ้า” มีจริง ป่วยการที่เราคนไทยจะมาสร้างวาทกรรมหรือสร้างข่าวเท็จเพื่อฟาดฟันกันเอง

เราต้องคิดว่าเขาเป็นพวกมีเวรกรรม สมควรแล้วที่พวกเขาจะได้ไปพบพระเจ้าเป็นแสนคนภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน

สงครามสื่อสารในยุค 5 G ไม่เพียงแต่เป็นการต่อสู้กันระหว่างสื่อดิจิตอลกับสื่ออะนาล็อก หรือระหว่างออนไลน์กับออฟไลน์เท่านั้น หากเป็นการต่อสู้กันระหว่างคนไม่เอารัฐบาลกับคนเอารัฐบาลอีกด้วย

พยายามถามตัวเองอยู่เหมือนกันว่า ตัวเองอยู่ข้างไหน แต่ก็ตอบไม่ได้ เพราะว่าทุกฝ่ายไม่เป็นที่น่าไว้วางใจเลยแม้แต่น้อย ผมจึงเป็นประเภท “เสพมั่ว” อ่านและฟังมันทั้งนั้น

ยกตัวอย่าง ในทางการเมือง โดยพื้นฐานผมไม่เอาการกระทำหลายอย่างที่นายกรัฐมนตรีทำ เช่น ทำ “ลอยนวล” ในกรณีแสดงบัญชีทรัพย์สิน การถวายสัตย์ของ ครม. การแสดงอารมณ์กราดเกรี้ยว ฯลฯ ผมแสดงความคิดเห็นที่ดูเหมือนตำหนินายกรัฐมนตรีอยู่แทบทุกเวลา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมเชียร์ “ฝ่ายไม่เอารัฐบาล” เพราะหลายอย่างของฝั่งนี้ผมก็ “รับไม่ได้” เหมือนกัน

อย่างกรณีที่ ส.ส.นายหนึ่งบิดเบือนให้ร้ายชาวสวนมะพร้าวไทย ให้ PETA รายงานว่าชาวสวนไทยทรมานลิงที่ฝึกให้เก็บมะพร้าว จนกระทั่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษหลงเชื่อ จะด้วยความโง่หรือต้องการรังแกประเทศไทยก็ไม่ทราบชัด ได้สั่งแบนสินค้าที่ผลิตด้วยมะพร้าวจากไทยทันที

ส.ส.ฝั่งตรงข้ามรัฐบาลต้องการให้รัฐบาลเจ๊ง โดยยอมให้ประเทศไทยและชาวสวนเจ๊งด้วย

มิหนำซ้ำยัง “ขู่” ให้คนไทยยอมรับรายงานบิดเบือนของ PETA อีกด้วย โดยอ้างว่าถ้าไม่ยอมรับ สังคมจะโกรธมากขึ้น!

ผมรับไม่ได้เพราะ ส.ส.นายนี้คิดว่าคนไทยโง่เหมือนมัน

ในช่วงเวลานี้ ถ้าเราติดตามสื่อ (ไม่ว่าจะเป็นสื่ออะนาล็อกหรือดิจิตอล) เราจะพบว่า “สงครามสื่อ” โดยเฉพาะในสื่อโซเชียล ค่อนข้างรุนแรงและเหี้ยมโหดกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากสื่อโซเชียลดูเหมือนไม่ต้องรับผิดชอบทั้งในด้านกฎหมายหรือด้านศีลธรรม

เป็นเท็จ บิดเบือน ไร้สาระ และพาดหัวกับเนื้อในเป็นคนละเรื่องกัน

ภาษาหยาบคาย ลามก อ่านไม่รู้เรื่อง ไม่มีประธาน ทำให้ผู้เสพเข้าใจผิดหรือเข้าใจต่างกัน สะกดการันต์ผิดทั้งๆ ที่เป็นคำที่ใช้ประจำวัน เช่นคำว่า “อนุญาต” รูปแบบประโยค ไวยากรณ์ ฯลฯ ที่ไร้คุณภาพจะทำให้เยาวชนในอนาคตไร้คุณภาพไปด้วย

แข่งกันเก่ง ทำให้เกิดการเข้าใจผิด อย่างกรณี “ถ้ำนางนอน” และหลายครั้งเท่ากับบอกข่าวให้คนร้ายรู้ตัว เช่น กรณีกราดยิงที่โคราช หรือคดีน้องชมพู่ถูกฆาตกรรม

ในสนามการเมือง ผมยังยืนยันความเห็นเดิมที่ว่า ฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐบาลคะแนนนำเกือบทุกกรณีมาโดยตลอด ภาพที่สื่อถึงความเสียหายของรัฐบาลมีมากกว่าและโจ่งแจ้ง ภาพนายกรัฐมนตรีขณะ “เสียบุคลิก” มีล้นเหลือ ทุกภาพล้วนบอกความเสียหายโดยไม่ต้องมีคำบรรยาย พวกไม่เอานายกฯ ช่างฉลาดที่หยิบมาใช้ในทุกกรณี

ด้านภาษาหรือถ้อยคำก็เช่นเดียวกัน ผมเคยพบว่าพวกเขาใช้คำว่า “เห่า” ในพาดหัวข่าวกับคนระดับนายกรัฐมนตรี ในความหมายของคำว่า “พูด” ด้วยซ้ำ!

ฝ่ายรัฐบาลมีมือ-ตีนมากมายรวมทั้งถือกฎหมายอยู่ในมือ แต่ก็ไม่ใช้ คงหวั่นใจว่าจะถูกย้อนรอยขอดเกล็ดตามประสาพสกมีแผลเก่าเต็มตัวและรอบตัวกระมัง?

มิหนำซ้ำวิวาทะที่ชนะอยู่แล้ว อย่างเรื่อง ผบ.ทบ.สหรัฐเยือนไทยโดยไม่ใส่หน้ากาก กลับมีภาพข่าว “แรมโบ้” ออกมาอวดว่า “ผบ.ทบ.สหรัฐเยือนไทยถือเป็นประโยชน์กับชาติ”

ไอ้ที่ว่าชนะกลับกลายเป็นแพ้ไปเสียฉิบ