จิราพร สินธุไพร | ส.ส.ผู้ประกาศขอต่อแถวเป็นที่พักพิงให้คนรัก ปชต. จี้แก้ รธน. – ย้อน”บิ๊กตู่” ต้องพิจารณาตัวเอง

“การทำงบประมาณครั้งนี้แตกต่างจากครั้งที่แล้วเพราะประเทศกำลังประสบผลวิกฤตโควิดอย่างหนัก ความคาดหวังของประชาชนที่คิดว่างบฯ ก้อนนี้จะช่วยตอบโจทย์ แก้ปัญหาและประคับประคองเศรษฐกิจให้เดินหน้าไปได้ระยะหนึ่งคงแทบไม่มีความหวัง เพราะว่ามาดูเนื้อในกลายเป็นว่ารัฐบาลนี้จัดเหมือนงบฯ ปกติ 5-6 ปีก่อนเลย ไม่รองรับภาวะวิกฤต แล้วทั้งหมดเสมือนกลายเป็นระเบิดเวลาที่จะรอวันล้มละลายทางการคลัง แถมมีปัญหาต่างๆ ตามมาเหมือนงูกินหาง”

ส.ส.น้ำ จิราพร สินธุไพร จาก จ.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ได้ฉายภาพการทำงบประมาณปี 2564 ยามที่มีวิกฤตเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ซึ่งครั้งนี้ถือว่ารุนแรงที่สุดที่สาหัสกว่าต้มยำกุ้งปี 2540

จิราพรอธิบายว่า กรอบคิดของรัฐบาลนี้พูดตรงๆ ว่าประชาชนไม่ได้อยู่ในหัว ไม่ได้คำนึงถึงในการจัดงบฯ นี้เลย ทั้งที่ยามนี้มองไปเราเห็นทั้งคนตกงาน คนขาดรายได้ แต่ในงบฯ ยังเต็มไปด้วยรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น การซื้ออาวุธยังมีงบฯ ที่ตัดได้ไม่ตัด ยังคงทำงบฯ เหมือนช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมาในห้วงไม่เกิดวิกฤต สะท้อนว่าเขาไม่ได้มีประชาชนอยู่ในสมการของการจัดทำงบประมาณนี้

ซึ่งเวลาลงพื้นที่ ชาวบ้านยังเข้ามาบอกว่า เศรษฐกิจแบบนี้ ปากท้องเขาเป็นแบบนี้ เขาไม่มีเงินจะกินอยู่แล้ว ทำกินก็ไม่ได้ ขายอะไรก็ไม่ได้ ยังจะซื้ออาวุธกันอีกหรือ นี่คือคำถามที่ประชาชนถามมาโดยตรงตลอด

ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า ณ วินาทีนี้มันไม่จำเป็นแล้ว เพราะรูปแบบการต่อสู้มันเปลี่ยนไป ตอนนี้เขาใช้รูปแบบสงครามการค้าเศรษฐกิจมาปิดล้อม การใช้อาวุธรบกันซึ่งหน้ามันแทบไม่มีแล้ว

รัฐบาลจะต้องเปลี่ยนความคิด ปรับทัศนคติตัวเองในด้านนี้ด้วยเหมือนกัน

จิราพรเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์บริหารประเทศมา 6 ปีแล้ว ผลงานก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ไม่มีประสิทธิภาพ ล้มเหลวโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ พอเจอวิกฤต covid-19 กลายเป็นว่ารัฐบาลนี้แทนที่จะเป็นความหวังเป็นหลักให้ประชาชน แต่ภาพที่เห็นตอนนี้กลับมาแย่งเก้าอี้มีปัญหาภายในกัน มาหาผลประโยชน์กัน

ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะเขาเป็นรัฐบาลที่รวมตัวกันของหลายฝ่าย มีพรรคมาร่วมมากกว่า 20 พรรค ก็เลยยากมากที่จะทำงานสอดประสานกันไม่ขัดแย้งกัน แต่คุณแย่งเก้าอี้โดยที่ไม่สนใจว่าประชาชนจะเป็นยังไง มันสะท้อนอะไรหลายๆ อย่าง สภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยตอนนี้เหมือนผู้ป่วยนอนซม ลุกไม่ได้ นี่คือภาวะที่เราเจอ ไม่เหมือนประเทศอื่นๆ เช่นเวียดนามที่เขาล้มไปไม่กี่วันแล้วก็ลุกขึ้นมาได้ แล้วจีดีพีโตขึ้นไม่ได้ติดลบแบบเรา

ส.ส.น้ำมองว่า การแก้ปัญหาในประเทศวันนี้มีสองจุดใหญ่คือ ปัญหาเชิงโครงสร้าง ถ้าจะแก้ก็ต้องแก้ที่ต้นตอ นั่นคือการแก้รัฐธรรมนูญให้สะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนอย่างแท้จริง ให้เป็นประชาธิปไตยที่ทุกฝ่ายยอมรับเพื่อความเชื่อมั่นทั้งในและต่างประเทศให้ได้ก่อน

ประการต่อมา ทีมเศรษฐกิจของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เห็นว่าหลายปีที่ผ่านมาเขาคิดอย่างไร ทำอย่างไรผลออกมามันแย่ขนาดไหน ยิ่งชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ที่เป็นผู้นำประเทศ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจอยู่ก็ยังคงจะยังทำแบบเดิมคิดแบบเดิม ไม่ปรับตัว ไม่ปรับปรุงตัวเองให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นเพื่ออนาคต

ตัว พล.อ.ประยุทธ์ออกมาพูดว่าตัวเองไม่เก่งเศรษฐกิจ ไม่ค่อยรู้เรื่องเศรษฐกิจ แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศห่วงเรื่องเศรษฐกิจ ที่มันหนักหนาสาหัส ผู้นำที่จะเข้ามาทำงานด้านนี้ต้องเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถที่จะเรียกความเชื่อมั่น

ถามว่า การที่ออกมาพูดว่าตัวเองไม่เก่งเศรษฐกิจมันทำให้สถานการณ์ดีขึ้นหรือเปล่า?

คำตอบคือไม่เลย ฉะนั้น สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ควรทำคือการพิจารณาตัวเองว่าถ้าตัวเองไม่เหมาะสมที่จะทำงานตรงนี้ก็ควรพิจารณาตัวเองลาออกไปซะ แล้วเปิดทางให้คนที่เขามีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานจุดนี้แทน

ถ้าวันนี้มีโอกาสบอก พล.อ.ประยุทธ์นอกสภา ส.ส.น้ำระบุว่า ก็อยากบอกว่าเวลาที่พูดหรือทำงานในสภาก็นึกสงสารเหมือนกันว่าคงได้รับการกดดันหลายอย่าง แต่คำว่าสงสารนี้ พล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องรู้ตัวเองด้วยว่าตัวเองเหมาะสมกับตำแหน่งนี้หรือไม่อย่างไร จะยังสามารถทำงานให้ประชาชนและประเทศชาติได้หรือไม่ เพราะในห้วงที่ผ่านมาประเทศที่เราอยู่ภาวะปกติยังไม่สามารถทำให้ประเทศไทยเป็นที่เชิดหน้าชูตาหรือทำให้เศรษฐกิจของเราเติบโตได้ในระดับหนึ่งที่ควรจะเป็นได้เลย เพราะฉะนั้น ท่านควรพิจารณาตัวเองว่าควรจะอยู่ต่อดีหรือไม่

แต่เพราะการที่เรายังคงมีรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ประชาชนได้เห็นทั้งการนับคะแนนบัตรเขย่ง สูตรคิดคะแนนพิสดารให้พรรคเล็กพรรคน้อย แถมมีเหล่าบรรดา ส.ว. 250 คนที่ตั้งหน้าตั้งตารอเลือกนายกฯ คนเดียวอย่างพร้อมเพรียงกัน มันคุ้มค่าหรือไม่

มติประชาชนถูกบิดเบือน เพราะฉะนั้น สิ่งที่ควรทำที่สุดคือ การแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ให้สะท้อนเจตนารมณ์ประชาชนให้มากที่สุด ให้ทุกฝ่ายเกิดการยอมรับ

ซึ่งการที่รัฐบาลกอดรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไว้แน่นเท่าไหร่ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญนี้มันเอื้อเขามากแค่ไหน ทำไมถึงไม่ยอมให้มีการแก้ไข ในเมื่อถ้าบอกว่ารัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยจริงๆ ก็ต้องให้ประชาชนมีสิทธิ์มีเสียงที่จะทักท้วงติงได้ว่าอะไรที่มันตอบโจทย์ประเทศ อันไหนที่เป็นอุปสรรคขัดขวางการพัฒนาประเทศ

ส่วนตัวเชื่อว่าต่อให้กลไกเข้าจะยากสักแค่ไหน แต่เสียงเรียกร้องของประชาชน มติมหาชนหากเรียกร้องไปในทางเดียวกัน ก็สามารถที่จะไปกดดันทำให้นำไปสู่การแก้ไขได้ในที่สุด

ที่มีคนชอบมองว่าชาวบ้านต่างจังหวัดไม่ค่อยรู้เรื่องการเมือง สนใจแค่ปากท้องว่ามีอยู่มีกินแค่ไหน ส.ส.น้ำยืนยันว่า จากการลงพื้นที่ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันต้องแก้แล้วรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เลือกไปแล้วมันไม่ได้นายกฯ ที่เขาต้องการ ถ้าไม่แก้ประเทศจะเป็นแบบนี้ไปไหนไม่ได้ ต้องบอกว่าพี่น้องประชาชนมีความสนใจและเข้าใจการเมืองสูงมาก เขาเห็นภาพโครงสร้างทางการเมืองไทยที่ดีมาก

คนที่พยายามบอกว่าชาวบ้านต่างจังหวัดไม่รู้เรื่องการเมือง นี่ไม่จริงเลยขอยืนยัน

ซึ่งการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมาตลอด 20 ปี ตั้งแต่อดีตพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน มาจนถึงเพื่อไทยสามารถครองใจพี่น้องชาวอีสานใต้โดยตลอดเป็นเพราะนโยบายที่จับต้องได้ พี่น้องประชาชนได้ประโยชน์จริงๆ

และที่อีสานโพลมีผลสำรวจออกมาเมื่อเร็วๆ นี้ว่าอยากให้คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นนายกฯ ก็เพราะเป็นบุคคลที่ตั้งต้นมาตั้งแต่ไทยรักไทย พรรคนี้ก็ยังอยู่ในใจของประชาชน

ตรงกันข้ามกับ พล.อ.ประยุทธ์รัฐบาลบริหารประเทศมา 6 ปีมีการใช้เงินภาษีเกือบ 20 ล้านล้านนั้น แต่มีการออกนโยบายแจกเงินนับครั้งไม่ถ้วน โดยมีนัยสำคัญว่าจะซื้อใจ แต่ผลก็ออกมาแล้วว่าเขาไม่สามารถที่จะครองใจประชาชนได้ด้วยการแจกเงิน โดยที่ไม่สร้างรายได้ ไม่สร้างความยั่งยืนให้กับประชาชน ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ว่าจะพาเขาพ้นจากวิกฤต ทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้นได้

6 ปีที่ผ่านมามันพิสูจน์แล้ว

จิราพรเปิดใจว่า ถ้าไม่ได้เป็น ส.ส.ตอนนี้ก็คงยังทำงานที่กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นงานก่อนหน้าที่จะมาลงสนามการเมือง

สำหรับงานดังกล่าวถือว่ามีความสนุกและท้าทายมาก เนื่องจากเราซึ่งก็เรียนปริญญาโทด้านธุรกิจระหว่างประเทศก็เลยสนใจงานด้านการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ประจวบเหมาะกับการทำงานที่กรมนี้ได้เรียนรู้เพิ่มเติมอีกหลายมิติ ถือว่าได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์

สำหรับงานการเมือง การเข้ามาทำงานด้านนี้ถือเป็นความฝันวัยเด็กด้วยความที่ติดตามคุณพ่อ นายนิสิต สินธุไพร ไปลงพื้นที่ มีคุณพ่อเป็นไอดอลที่เปลี่ยนภูมิทัศน์ มุมมองการเมืองของเราไปโดยสิ้นเชิง จากที่เราเคยคิดว่านักการเมืองคือผู้มีอิทธิพลเข้าถึงยาก แต่การทำงานของคุณพ่อทำให้เราเห็นว่า ส.ส.คือผู้แทนของประชาชนจริง ทำให้เห็นเป็นคนธรรมดาที่เข้าถึงง่าย ทำเพื่อประชาชน มันเป็นความประทับใจแล้วเรารู้สึกว่าเราอยากจะเจริญรอยตามพ่อ

แล้วยิ่งระยะหลังๆ มาคุณพ่อเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เราได้เห็นพัฒนาการทางประชาธิปไตยของประเทศไทยที่มันลุ่มๆ ดอนๆ นักต่อสู้ฝ่ายประชาธิปไตยหดสั้นลงเรื่อยๆ อาจจะมีทั้งเรื่องของการยุบพรรค ตัดสิทธิ์ ติดคุก ถูกดำเนินคดีต่างๆ

ฉะนั้น ความฝันของน้ำคืออยากจะเข้ามาสานต่ออุดมการณ์ทางการเมืองการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจากคุณพ่อ เราอยากเข้ามาทำงานทางการเมืองเพื่อต่อแถวฝั่งประชาธิปไตยให้ยาวขึ้นให้ได้ เป็นที่พักพิงและเป็นหลักของประชาชน

ถ้าถามว่าเข้ามาแล้วเรามีเป้าหมายตำแหน่งทางการเมืองที่วาดหวังไว้หรือไม่ มันเป็นเรื่องใช้เวลาอีกยาวนานมากเพราะเราเป็น ส.ส.ป้ายแดงสมัยแรก ยังต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกมาก

และความฝันของเราคือ วินาทีนี้ตอนนี้ตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเราอยากเห็นประเทศเป็นประชาธิปไตย เป็นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นก่อนการนึกถึงตำแหน่งนักการเมืองอื่นๆ เพราะว่าวันนี้เราเห็นแล้วว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมีความขัดแย้ง เป็นเพราะโครงสร้างของประเทศมีปัญหา

ดังนั้น ก่อนจะไปเอาตำแหน่งอะไรหรือไม่ ควรจะคุยกันก่อนว่าวันนี้จะทำอย่างไรให้เป็นประชาธิปไตยเต็มใบได้มากที่สุด