หนุ่มเมืองจันท์ : คิดแบบ “จิ๊บ”

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ผมเพิ่งทำ “ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ” ทาง facebook live ครั้งที่ 2

คราวนี้เป็นคิวของ “จิ๊บ” สมยศ เชาวลิต กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจไอบี คอมพิวเตอร์ กรุ๊ป

“จิ๊บ” เคยออกรายการฟาสต์ฟู้ดธุรกิจมาแล้วครั้งหนึ่ง

ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาให้สัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์

ไม่แปลกที่ “จิ๊บ” จะตื่นเต้นและเกร็งมาก

แต่เรื่องราวชีวิตการต่อสู้ชีวิตของเขากลายเป็น “แรงบันดาลใจ” ให้กับหลายคน

คนที่มาจากครอบครัวยากจน เป็นเด็กวัด โดนรังแกจนต้องหัดชกมวย และกลายเป็นนักมวยขึ้นเวทีใหญ่อย่างเวทีราชดำเนินและอ้อมน้อยมาแล้ว

เรียนจบมาเป็นพนักงานแบงก์ ก่อนจะลาออกมาเปิดร้านขายคอมพิวเตอร์ชื่อว่า J.I.B.

ใช้สโลแกนว่า “ร้านเล็กๆ แต่ตั้งใจทำ”

ขายวันแรกได้ 6,000 กว่าบาท

จนวันที่มาออกรายการ “ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ” เขามียอดขาย 6,000 เหมือนกัน

แต่เป็น 6,000 ล้านบาท

วันนั้น กำลังเริ่มต้นขายทาง “ออนไลน์”

ยอดขายเดือนแรก 8 แสนบาท

จำได้ว่า “จิ๊บ” ตื่นเต้นมาก เพราะเห็น “โอกาส” ใหม่ทางธุรกิจ

“ตีสอง ตีสาม ยังมีคนซื้อเลย”

เขาเล่าอย่างตื่นเต้นมาก

เพราะเคยขายแค่หน้าร้านที่อยู่ในศูนย์การค้า

แค่ 3-4 ทุ่มก็ปิดร้านแล้ว

แต่ขายออนไลน์คนซื้อ 24 ชั่วโมง

จากวันนั้นที่ออกรายการจนวันนี้ประมาณ 2 ปีเศษ

ยอดขายจากเดือนละ 8 แสนบาทกลายเป็น 70 ล้านบาท

แค่ยอดขายก็น่าตื่นตาตื่นใจแล้ว

แต่เมื่อได้คุยกับ “จิ๊บ” ถึงกลยุทธ์การขายและการเขียนโปรแกรมหลังบ้านที่สามารถเห็นยอดขายแบบ real time ได้

แทบจะกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์เลยครับ

สุดยอดมาก

นั่นคือเหตุผลที่ผมเชิญ “จิ๊บ” มาออกรายการอีกครั้งหนึ่ง

คราวนี้เจาะลึกเรื่องการขายทางออนไลน์เป็นหลัก

เพราะผมเชื่อว่าคนที่ทำธุรกิจอยากรู้เรื่องนี้

และรูปแบบ facebook live มีข้อดีตรงที่คนทางบ้านสามารถสอบถามได้สดๆ

อยากรู้เรื่องอะไรถามมาได้เลย

กลยุทธ์การทำ facebook live ของผมง่ายมากครับ

เราจะให้เกียรติ “แขกรับเชิญ” ด้วยการให้ความเป็นกันเองอย่างถึงที่สุด

ตอนไปสัมภาษณ์ “กร” ชลากรณ์ ปัญญาโฉม ของเวิร์คพอยท์

เราก็ให้เกียรติเขาเลี้ยงข้าวเย็น

พอถึงคิว “จิ๊บ”

เขามีอุปกรณ์ทำรายการ facebook live อย่างดี เพราะต้องทำรีวิวสินค้าทุกวัน

จอข้างหลังราคาเกือบล้าน กล้องราคาเป็นแสน

พอเห็นอุปกรณ์ของ “จิ๊บ” เราก็เก็บกล้องของเราทันที

เปลี่ยนมาใช้ของ “จิ๊บ” แทน

…เป็นกันเองครับ

ประเด็นที่คุยกัน เป็นเรื่องการขายออนไลน์เป็นหลัก

แต่มี 2 เรื่องซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยที่ผมชอบมาก

เรื่องแรก เป็นตอนที่ “จิ๊บ” ไปกู้เงินจากแบงก์ 350 ล้านบาท

เขาลุยขยายร้านอย่างสนุกสนาน

ปีละ 54 สาขา

หรือสัปดาห์ละ 1 สาขา

เขานึกว่ายิ่งมีร้านเยอะ ยอดขายยิ่งดี อำนาจต่อรองยิ่งสูง

แต่ในโลกแห่งความจริง ไม่ใช่ทุกร้านจะขายดี

พอตัวเลขในบัญชีเริ่มปรากฏ “สีแดง” เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนั้น “จิ๊บ” กลุ้มมาก

ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจปิดร้านที่ขาดทุน และให้ความสำคัญกับเรื่องการสร้าง “แบรนด์”

เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เริ่มเปิดขายสินค้าทางออนไลน์

การขายออนไลน์ มีข้อดีคือ ไม่มีต้นทุนค่าเช่าพื้นที่เหมือนกับการขายผ่านร้านในห้าง

ปิดร้านที่ขาดทุนปั๊บ เลือดก็หยุดไหล

อีกด้านหนึ่งก็มี “เลือดใหม่” จากการขายออนไลน์ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดทุกเดือน

สถานการณ์ทางบัญชีก็พ้นจาก “ตัวแดง”

กลายเป็น “กำไร”

วิกฤตครั้งนี้ทำให้เขาได้ 2 บทเรียนสำคัญ

บทเรียนแรก คือ เขาระมัดระวังในการเปิดสาขามากขึ้น

จากเดิมที่เร่งเปิดโดยไม่ศึกษาข้อมูลดีพอ

คราวนี้กว่าจะเปิดสักร้านหนึ่ง ดูแล้วดูอีก

บทเรียนที่สอง เป็นเรื่องการคิดแบบเผื่อทางถอย

ตอนเปิดร้าน เขาใช้งบฯ ตกแต่งร้านประมาณ 1-2 ล้านบาท

แต่พอปิดร้าน หลังการรื้อถอนเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ

มีของที่เหลือใช้ได้เพียง 10%

เพราะส่วนใหญ่เขาตกแต่งแบบ “บิวต์อิน”

วันนี้ เขาปรับใหม่ทุกครั้งที่เปิดร้าน เขาจะตกแต่งร้านแบบลอยตัว

คิดก่อนว่าถ้าวันหนึ่งขายไม่ดี ต้องปิดร้าน

อุปกรณ์ทุกชิ้นจะต้องเอากลับมาใช้ได้อีก

เชื่อไหมครับตอนนี้เขาสามารถเอากลับมาใช้ใหม่ได้หมด

“หลอดไฟ” ก็ถอดได้

เหลือแค่พื้นเท่านั้นที่ยังทำไม่ได้

เรื่องที่สอง เป็นเรื่อง “วิธีคิด” ของเขา

ตอนที่ไปเรียนหลักสูตร IDEA “จิ๊บ” เจอเพื่อนร่วมหลักสูตรเป็น “ทายาทธุรกิจ” หลายคน

แต่ละคนไฟแรงมาก

ไม่มีใครคิดเสวยสุขจากสิ่งที่พ่อทำมา

ทุกคนอยากทำโน่นทำนี่

คิดใหม่ทำใหม่

มีความฝันว่าจะขยายอาณาจักรธุรกิจให้ใหญ่กว่าที่พ่อของเขาทำไว้

“เด็กรุ่นใหม่” จุดไฟให้กับ “จิ๊บ” อีกครั้งหนึ่ง

ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่เขาเริ่มเบื่อๆ กับการทำธุรกิจแบบเดิมๆ

ทำแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ

พอเห็นพลังและวิธีคิดของ “คนรุ่นใหม่”

“จิ๊บ” กลับมาคิดใหม่

ใช้วิธีคิดแบบ “สมมุติ”

สมมุติว่า 14 ปีที่ผ่านมาของ J.I.B. เป็นช่วงที่ “พ่อ” ทำมา

แต่วันนี้และอนาคต คือช่วงเวลาของ “จิ๊บ” รุ่นที่สอง

“จิ๊บจูเนียร์”

เขาทำตัวเป็น “ลูก” ที่อยากขยายธุรกิจให้ใหญ่กว่ารุ่น “พ่อ”

ในรูปแบบที่แตกต่างจากเดิม

นั่นคือเหตุผลหนึ่งที่ “จิ๊บ” ลุยขยายการขายทางออนไลน์อย่างสนุกสนาน

ผมชอบเรื่องนี้มาก

เพราะเป็น “เบบี้เฟซ” ทาง “ความคิด” ที่น่าสนใจ

คิดแบบสมมุติ

ลดอายุตัวเองจาก 40 กว่าเหลือแค่ 30

เพียงแค่ “คิด”

“ชีวิต” ก็เปลี่ยน