ไพบูลย์ นิติตะวัน มือสังหาร 4 กุมาร ถนนทุกสายมุ่งหน้ามุ้ง “บิ๊กป้อม” -ปรับคณะรัฐมนตรีประยุทธ์ 2/2 ไร้รอยต่อ

ก่อนรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 เขาคือ 1 ในกลุ่ม 40 ส.ว. ยื่นศาลรัฐธรรมนูญสอยยิ่งลักษณ์ ชินวัตร-ตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรี กรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในขณะนั้น

หลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 เขาคือ 1 ในแม่น้ำ 5 สาย ออกแบบกติการัฐธรรมนูญ ฉบับ “เขาอยากอยู่ยาว” – สมาชิกสภาปฏิรูปประเทศ (สปช.)

ก่อนการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 เขาคือ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ อันดับ 1 หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป – สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นนายกรัฐมนตรี 2 สมัย

ก่อนแผ่นดินไหวทางการเมือง 8 กุมภาพันธ์ 2562 เขาคือ คน “ยื่นดาบ” ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยุบพรรคไทยรักษาชาติ

11 เดือน 3 วัน หลังเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 เขาคือ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ ก่อน “เลื่อนชั้น” เป็นรองหัวหน้าพรรค

1 มิถุนายน 2563 เขาคือ ตัวเปิดเกม-เปิดชื่อใบลาออก 18 กรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคพลังประชารัฐ นำไปสู่การรื้อ-ล้างแผงอำนาจนำ-ยึดพรรค ที่มีสี่กุมาร – 8 ขุนพล กับสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษาทางใจ

27 มิถุนายน 2563 คือ วันพิพากษากลุ่ม 4 กุมาร – นับ 1 ของพลังประชารัฐ ที่มี “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี-ประธานยุทธศาสตร์พรรค เป็น “หัวหน้าพรรคคนที่สอง”

เบื้องหลังการเถลิงบัลลังก์ “บิ๊กบราเธอร์” พล.อ.ประวิตร – 12 หัวหน้ามุ้ง ชักภาพกลางมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด คือ อยู่บนความเคลื่อนไหวของ “ไพบูลย์ นิติตะวัน” รองหัวหน้าพรรค 2 สมัย

เขาบอกว่า “ฟางเส้นสุดท้าย” ของการหักดิบ 4 กุมาร – ยึดพรรค เพราะหัวหน้า-เลขาธิการพรรค คือ “เงื่อนไขของความขัดแย้ง”

เมื่อหัวหน้าพรรคยังไม่ครบวาระ และไม่ยอมลาออก จึงต้องเลือกแนวทางสุดท้ายให้ กก.บห.ลาออกเกินกึ่งหนึ่ง-กก.บห.พ้นทั้งคณะ ตามข้อบังคับพรรคข้อที่ 15 ต้องเลือก กก.บห.ชุดใหม่ภายใน 45 วัน

“มีข้อครหาว่า ผู้บริหารพรรคถ้าไม่ทำงานกับพรรคก็ไม่เหมาะที่จะเป็นหัวหน้าและเลขาธิการพรรคอยู่แล้ว แต่ที่ยังเป็นอยู่เพราะต้องการไปเป็นรัฐมนตรี เอาตำแหน่งรัฐมนตรี แต่ไม่ทำงานผู้บริหารพรรค”

ถ้าเข้าสู่การดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ้าสามารถเป็นรัฐมนตรีและดูแลงานพรรคไม่ขาดตกบกพร่อง เป็นรัฐมนตรีได้ด้วย เป็นหัวหน้าพรรคได้ด้วย แต่ถ้าทำได้ดีอยู่อย่างเดียว ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง

“ไพบูลย์” บอกจุดแข็ง-ข้อดีของ พล.อ.ประวิตร ภายหลัง “ยอมเสียสละ” ลงจากที่สูงมาเป็น “หัวหน้าพรรค” ในช่วงที่สถานการณ์ความขัดแย้งภายในพรรคคุกรุ่น-สยบความขัดแย้ง

“พล.อ.ประวิตรจะทำให้พรรคเข้มแข็ง เดินหน้า มีเอกภาพ มีความมั่นคง สนับสนุนงานของ พล.อ.ประยุทธ์ได้ดีขึ้นกว่าเก่า และส่งผลต่อการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคพลังประชารัฐจะชนะการเลือกตั้งครั้งหน้าและได้เสียง ส.ส.เป็นอันดับ 1″

ถ้าไม่มีการปรับเปลี่ยนจะมีปัญหา พรรคปั่นป่วน วุ่นวาย เป็นชนวนทำให้เกิดความเสียหายและความขัดแย้งมากขึ้นกว่านี้ เกิดเป็นความแตกแยกเป็นสองขั้ว จนหยุดไม่ได้ จึงต้องคืนอำนาจให้สมาชิกพรรค”

“ท่านอยู่สูงกว่าการเป็นหัวหน้าพรรค ท่านยอมลงมาตามเสียงขอร้อง เชื่อว่าพรรคประสบความสำเร็จแน่ และพรรคจะมีจุดเด่น มีบุคลากรที่เป็นเสาหลักของพรรค แข็งแรงกว่าทุกพรรค ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์”

“ไพบูลย์” เชื่อว่า ด้วยบารมีของพี่ใหญ่-บิ๊กป้อม จะทำให้พรรคพลังประชารัฐไม่มีแรงกระเพื่อม เพราะท่านเป็นศูนย์รวมของความรัก-เคารพของ ส.ส.ทั้งพรรค เป็นผู้ใหญ่ที่เอาใจใส่ ดูทุกข์-สุขของ ส.ส.

“แก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม และช่วยทำให้พรรคประคับประคองไปได้ดี เป็นเสาหลักพรรคและศูนย์รวมความเชื่อถือของ ส.ส.”

ถนนทุกสายในพรรคจะมุ่งตรงไปที่ พล.อ.ประวิตรแต่เพียงผู้เดียว ในฐานะหัวหน้าพรรค เป็นตำแหน่งทางการมากกว่าในตำแหน่งประธานยุทธศาสตร์พรรค

ขณะที่ “หัวหน้ามุ้ง” จะคลายตัว กลายเป็นกลุ่มก๊วนแบบ “ไม่เป็นทางการ” เพราะ พล.อ.ประวิตรจะเป็นศูนย์รวมจิตใจ เป็นเสาหลัก เป็นผู้ได้รับความน่าเชื่อถือ ได้รับความยอมรับ

“เป็นวิถีทางของนักการเมืองอยู่แล้ว เป็นรัฐมนตรีก็อยากเป็นรัฐมนตรีกระทรวงใหญ่ขึ้น แต่ถ้ามีการบริหารจัดการไม่ให้เลยเถิดไป ก็อยู่กันไปได้ ไม่มีปัญหา ผมมั่นใจว่า ถ้า พล.อ.ประวิตรมาเป็นหัวหน้าพรรคจะดีแน่ ผมมั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์”

“ไพบูลย์” เชื่อว่า หลังจากปรับ ครม.แล้ว หากหัวหน้ากลุ่ม “ไม่ถูกใจ” จะไม่มีใครในพรรคมาขย่ม เพราะปรับ ครม.แล้วไม่ถูกใจเป็นเรื่องในพรรค จบที่ลุงป้อม ส่วนใครจะได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงไหน จบที่ลุงตู่

“ถ้า พล.อ.ประวิตรรับมาเป็นหัวหน้าพรรค ท่านเอาอยู่ จัดการได้ จบที่ลุงป้อม เพราะท่านมีศาสตร์และศิลป์ที่จะทำให้ทุกคนทำงานร่วมกันได้”

“หลายครั้งหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคคนเก่า (นายอุตตม สาวนายน และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์) เป็นคู่ขัดแย้งเสียเองกับ กก.บห.พรรคคนอื่น แต่ พล.อ.ประวิตรไม่ใช่คู่ขัดแย้ง ท่านอยู่สูงจนไม่อาจไปขัดแย้งกับใครได้

คนจะอยู่ได้หรือไม่ได้ อยู่ที่การได้รับความเป็นธรรม คับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก พล.อ.ประวิตรยอมรับเป็นหัวหน้าพรรค ปัญหาคับใจอยู่ยากจะไม่มี”

“ไพบูลย์” ฟันธงว่าวันนี้เป็นไฟต์บังคับ ขณะนี้ในพรรคไม่มีใครสามารถเป็นหัวหน้าได้เลย ในยุคที่ต้องฟื้นฟูให้โตขึ้น เป็นเอกภาพขึ้น มั่นคง-แข็งแรงขึ้น เป็นพรรคอันดับ 1 ของประเทศ ถ้าท่านไม่เป็น พรรคแตกและจะกระทบกับ พล.อ.ประยุทธ์

“ผมค่อนข้างเชื่อว่า พล.อ.ประวิตรจะเอาประโยชน์ของพรรคเป็นตัวตั้ง ถ้าทำอะไรแล้วพรรคได้ประโยชน์ ท่านทำ ท่านมาเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ และให้การทำงานของรัฐบาลราบรื่นมั่นคง”

“ไพบูลย์” ทิ้งท้ายว่า ถ้าท่านมาเป็นหัวหน้าพรรคจะทำให้การทำงานของ ส.ส.พรรคกับรัฐบาลไร้รอยต่อ สนับสนุนกันอย่างมั่นใจ มั่นคงมาก จะเป็นที่อิจฉาของพรรคการเมืองใหญ่ๆ ทั้งหลายที่ไม่มีอะไรดีๆ อย่างพรรคพลังประชารัฐ