กาละแมร์ พัชรศรี | บทสนทนาของเพื่อนในวัยสี่สิบปี

ฉันชอบชีวิตตัวเองทุกช่วงก็ว่าได้ค่ะ เพราะมันได้เจอสิ่งแปลกใหม่เสมอ เพราะมันจะเป็นครั้งแรกเสมอ เช่น นี่เป็นครั้งแรกที่เบญจเพส นี่เป็นครั้งแรกที่อายุ 40 ปี เรามักจะพบความรู้สึกใหม่ เรื่องราวใหม่ๆ เสมอ และฉันตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้สัมผัสมัน

วันก่อนรวมตัวกันกับเพื่อนนิเทศฯ จุฬาฯ นั่นหมายความว่าพวกเราคบกันมา 24 ปีแล้วค่ะ นี่มันเกินครึ่งชีวิตแล้วหรือนี่

พวกเราต่างเห็นช่วงชีวิตของกันและกันมาตลอด

สุข เศร้า สมหวัง เจอปัญหา อุปสรรค ก็ต่างเคียงข้างกัน

แม้จะไม่ได้เจอกัน แต่ความเป็นเพื่อนไม่เคยหายไปไหน

คล้ายๆ เป็นเพื่อนแล้วเป็นเพื่อนเลย ไม่ต้องมาจูนกันใหม่

ฉันมีดำริว่าเราน่าจะไปอยุธยาด้วยกันอีก เพราะอยุธยามีความหลังกับพวกเรามากมาย ทั้งยังอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ตอนเรียนเราไปเรียนประวัติศาสตร์อยุธยากับอาจารย์ธงทอง จันทรางศุ ได้ความรู้ควบคู่ความสนุกและโดนอาจารย์ดุเพราะพวกเราคุยเสียงดัง เป็นเรื่องที่จดจำไม่รู้ลืม

พวกเราจึงชอบไปอยุธยาบ่อยครั้ง ไปไหว้พระ 9 วัด ซึ่งเป็นวัดที่เราเคยทำรายงานตอนเรียนและให้ต่างคนต่างเล่าเรื่องราวความเป็นมาของวัดที่ตัวเองต้องเขียนรายงาน ต่อด้วยการกินกุ้งแม่น้ำ หรือร้านส้มตำไก่ย่างเจ้าดัง และจบด้วยการซื้อโรตีสายไหมกลับบ้าน ทำกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ

จนล่าสุดในวันที่เราวัยขึ้นเลขสี่!!!

กิจกรรมหลักคือตรงไปร้านอาหารเพื่อกินกุ้ง ไปไหว้พระ 1 วัด และไปกินเค้ก กินกาแฟ แล้วกลับ!!!!!

เฮ้ยๆๆๆ กิจกรรมสั้นมาก แถมมีแต่กินกับกิน เมื่อขับรถผ่านวัดไหนก็ยกมือไหว้นับเป็นหนึ่งวัด นั่งกินข้าวเห็นวัดอยู่ตรงข้าม นับเป็น 2-3 วัด ระหว่างทางเจอป้ายวัดก็นับต่อเรื่อยๆ

เจริญแท้ๆ

พวกเราเคยดั้นด้นขนาดขับรถหาวัดที่ดูยากจน น่าสงสารไม่ค่อยมีคนไปทำบุญเพื่อไปถวายสังฆทานชุดใหญ่ ในที่สุดก็เจอวัดที่ดูเกือบร้าง เหมือนไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ เราเคาะระฆังก็แล้ว ตะโกนเรียก “หลวงพี่ๆ หลวงพ่อๆ” ก็แล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

จนกระทั่งมีเสียงประตูเปิดแอดดังขึ้นมา ปรากฏภาพพระเดินออกมาจากกุฏิพร้อมสีกา แถมสบงจีวรหลุดลุ่ย ทำให้วิ่งหนีขึ้นรถแทบไม่ทัน แถมภาพนั้นยังติดตาตรึงใจเราจนถึงทุกวันนี้

เราจึงเรียกทริปนั้นว่า “บุญเต็มๆ”

เดินทางไปอยุธยาครั้งนี้คนไหนมีลูกก็หนีบลูกไปด้วย บางคนก็เอาผัวไป พวกโสดอย่างฉันก็มีอีกหลายคน นั่งรถตู้รวมกันไปสนุกที่สุดล่ะค่ะ

เรื่องราวที่พูดคุยของพวกเราเป็นไปตามวัยที่เปลี่ยนไป เมื่อก่อนก็นั่งปรึกษากันเรื่องความรัก เรื่องงาน แต่ตอนนี้คือคุยกันเรื่อง “ตีนกาและร่องแก้ม”

หัวข้อจึงวนเวียนเรื่อง

“เราควรฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์กันไหม”

“หมอที่ไหนทำเลเซอร์เก่งๆ มั่ง”

“ทำเธอมาร์ทหรืออัลเธอร่าเจ็บกว่ากัน”

“สายตาเริ่มยาวแล้ว ทำเลสิกหายไหมวะ”

“เราควรออกกำลังกายแค่ไหนดีที่ไม่ดูเหี่ยวจนเกินไป”

คือหัวข้อมันเกี่ยวกับเรื่องสังขารล้วนๆ สำหรับฉันแนะนำเพื่อนว่า

“อย่าหาว่าดัดจริตหรือตอบแบบดารา แต่กรูว่าออกกำลังกายพอประมาณ แดรกอาหารดีๆ นอนเร็วๆ อย่าเครียด นวดหน้าบ้างนิดหน่อย ไม่ต้องฉีดหรือทำศัลยกรรมก็ได้นะ”

เพื่อนกะเทยฟังแล้วกรอกตาไปมาพร้อมโทร.นัดหมอฉีดโบท็อกซ์

ส่วนกะเทยบางนางก็ต้องไปเลเซอร์หนวดบ้าง ทำฟันปลอมบ้าง ทำให้ศักยภาพการใช้ปากทางเพศลดน้อยถอยลงไป เพราะนางกลัวฟันปลอมจะหลุดติดออกมา สร้างความสยดสยองให้เพื่อนอย่างมาก

ไหนจะบ่นเรื่องสายตาที่ยาวขึ้นเวลาดูโทรศัพท์ต้องถอยออกนิดหนึ่งถึงจะมองเห็นชัด บางคนก็บ่นปวดเข่าเพราะน้ำหนักตัวเยอะ นอกนั้นก็คุยเรื่องลูก โรงเรียนที่จะเข้า ค่าเทอมเท่าไหร่ ไม่เห็นมีใครคุยเรื่องความรักหรือผัวตัวเองสักคน

นอกจากนี้ก็มีการปรึกษาจะซื้อคอนโดฯ แบบไม่ให้ผัวรู้เพื่อเป็นทรัพย์สินส่วนตัว คนไหนโสดก็คุยเรื่องการเก็บหอมรอมริบเอาเงินไปต่อยอดให้งอกเงย และวางแผนว่าจะอยู่อย่างโสดๆ อย่างไรให้มั่นคง

ในวันนี้ไม่มีใครมานั่งคุยเรื่องทำยังให้เขามารักหรือทำไมเขาทำอย่างนั้นอย่างนี้กับเรา แต่บทสนทนาและสิ่งที่สนใจคือเรื่องของตัวเองล้วนๆ

แต่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน เป็นอย่างไร จะผ่านอะไรกันมา ความรักและความปรารถนาดีที่มีต่อเพื่อนก็ยังคงอยู่ไม่มีวันเสื่อมคลาย