ในประเทศ / อะไร อะไร ก็ กรู

ในประเทศ

 

อะไร อะไร

ก็ กรู

 

ต้องรีบออกมาแสดงความเสียใจ และขอโทษ

สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้อำนวยการ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. และ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค.

เพื่อลดความ “โกรธ” ของประชาชน

กรณีที่ ศบค.การ์ดตก ทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงที่ไวรัสโควิด-19 จะกลับมาระบาดในไทยรอบ 2

อันเนื่องจากทหารอียิปต์ และครอบครัวคณะทูตจากประเทศซูดาน อาศัย “เอกสิทธิ์” และความมี “อภิสิทธิ์” หลีกเลี่ยงมาตรการควบคุมโรค และไม่อยู่ในที่ควบคุมที่รัฐบาลกำหนด

ทั้งที่คนในทั้ง 2 คณะ ติดเชื้อโควิด-19 จนทำให้เกิดความหวาดผวาไวรัสจะเป็นต้นตอแพร่เชื้อครั้งใหม่

โดยก่อนหน้านี้ คนไทยต่างถูกบังคับ-ขอความร่วมมือ-ตื่นตัว พยายามร่วมไม้ร่วมมือยุติการแพร่ของเชื้อโควิด-19

ซึ่งก็สามารถทำได้สำเร็จ จนปลอดเชื้อมาเกือบ 2 เดือน

โดยยอมเสียสละ อยู่ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ยอมใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง สวมหน้ากาก รักษาระยะห่าง ล้างมือและรักษาสุขภาพอนามัย ตามคำแนะนำของฝ่ายรัฐ

ที่สำคัญต้องยอมรับผลกระทบและความสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจมากมายมหาศาลเพื่อยุติ “วิกฤตโรคระบาด” ครั้งนี้

แต่จู่ๆ การที่ต้องมารับทราบว่า มีการใช้อภิสิทธิ์ และเอกสิทธิ์ แหกกฎเหล็ก ที่จะนำวิกฤตกลับมาอีก

จึงยอมรับไม่ได้

และเกิดกระแสไม่พอใจอย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยเฉพาะในโลกโซเชียลมีเดีย

 

ทั้งนี้ กรณีแรก เป็นทหารจากประเทศอียิปต์

เดินทางโดยเครื่องบิน มาลงสนามบินอู่ตะเภา เที่ยวบินที่ EGY1245 และ EGY1216

เป็นเที่ยวบินทหาร มีกัปตัน ลูกเรือ รวมทั้งสิ้น 31 คน

โดยเดินทางมาจากประเทศอียิปต์ ไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม และเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม เดินทางจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไปยังประเทศ ปากีสถาน ต่อมาวันที่ 8 กรกฎาคม เดินทางจากปากีสถาน มาถึงประเทศไทย และลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา เวลา 19.00 น.

จากนั้นเข้าพักในโรงแรงดีวารี อ.เมือง จ.ระยอง ในเวลา 23.00 น.

วันที่ 9 กรกฎาคม เวลา 05.30 น. เดินทางออกจากโรงแรมเพื่อบินไปทำภารกิจทางทหาร/เติมน้ำมันที่เมืองเฉินตู ประเทศจีน และบินกลับมายังประเทศไทย ถึงสนามบินอู่ตะเภา เมื่อเวลา 23.00 น. ของวันเดียวกัน

เดินทางกลับไปยังโรงแรมที่พัก ในเวลา 02.00 น. ของวันที่ 10 กรกฎาคม

ต่อมาเวลา 11.20 น. ลูกเรือจำนวนหนึ่งเดินทางออกจากที่พักไปยังห้างสรรพสินค้า 2 แห่ง ใน อ.เมือง จ.ระยอง ได้แก่ 1.ห้างแหลมทอง และ 2.เซ็นทรัลระยอง วันที่ 11 กรกฎาคม เดินทางกลับอียิปต์ เวลา 11.00 น.

ระหว่างพักอยู่ที่ระยอง ทีมสอบสวนโรคของสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ระยอง ร่วมกับทีมสอบสวนโรคของอำเภอเมืองระยอง พร้อมด้วยตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ตำรวจภูธร จ.ระยอง ได้เข้าตรวจผู้เดินทางจากประเทศอียิปต์ เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม

โดยใช้เวลาพอสมควร เพราะไม่ได้รับความร่วมมือ ต้องมีทีมประสานเข้าไปดำเนินการ จึงสามารถตรวจร่างกายได้

ผลของการตรวจในครั้งแรก จำนวน 30 คน ผลเป็นลบไม่พบเชื้อ และมี 1 คน ยังกำกวม จึงมีการตรวจใหม่

และผลออกมาในวันที่คณะทหารอียิปต์เดินทางกลับออกไปแล้วพบลูกเรือ 1 คนติดเชื้อโควิด-19

ทำให้ต้องเฝ้าระวังคนในโรงแรมที่พักและคนในห้างทั้ง 2 แห่ง

ในเบื้องต้นผู้มีความเสี่ยงสูง จำนวน 9 คน

ขณะเดียวกัน สร้างความตื่นตระหนกให้กับคนระยอง และคนทั่วประเทศ

 

กรณีที่สอง

เป็นกรณีเด็กหญิง 9 ขวบ จากประเทศซูดาน ที่เดินทางมาพร้อมกับคณะครอบครัวทูตซูดาน

โดยสารเที่ยวบินอียิปต์แอร์ MZ 3277 ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ในวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีการตรวจหาเชื้อที่สนามบินสุวรรณภูมิ

จากนั้น อุปทูตพร้อมคนขับรถ เดินทางไปที่คอนโดฯ ONE X และเข้าพักที่คอนโดฯ แห่งนี้

ต่อมาเจ้าหน้าที่โทร.มาแจ้งว่าลูกสาวอายุ 9 ปี ติดเชื้อ จึงพาไปโรงพยาบาลพญาไทเกษตรนวมิทร์ ระหว่างการรักษาผู้ป่วยมีอาการปอดอักเสบจึงขอย้ายไปรักษายังโรงพยาบาลเด็ก ในวันที่ 12 กรกฎาคม

จากการสำรวจห้องพักอยู่ชั้น 19 คอนโดฯ มีทั้งหมด 329 ห้อง มีผู้อาศัยจริง 200 ห้อง เป็นต่างชาติร้อยละ 70

ทั้งนี้ เด็กหญิง 9 ขวบรายนี้ไม่ได้ออกจากพื้นที่คอนโดฯ และไปในสถานที่ต่างๆ รวมถึงการใช้รถขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า

การประเมินในเคสนี้ ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 7 คน ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 15 ราย

 

กรณีทั้งสอง ยังไม่ทราบว่าจะนำไปสู่การระบาดไวรัส-19 หรือไม่

แต่ในเบื้องต้น ศบค.แสดงความรับผิดชอบ

และมีมติ “ล้อมคอก” ดังนี้

  1. ศบค.จะทบทวนมาตรการผ่อนคลายมาตรการกักกันตัวของบุคคลในคณะทูต โดยเฉพาะคู่สมรส บิดา-มารดา หรือบุตรของบุคคลดังกล่าว
  2. ให้กระทรวงการต่างประเทศยกเลิกการอนุญาตการบินเข้าของเที่ยวบินกองทัพอากาศ ซึ่งได้อนุญาตไปแล้ว 8 เที่ยวบิน คือ ระหว่างวันที่ 17-20 และวันที่ 25-29 กรกฎาคม 2563

และ 3. ให้ชะลอการอนุญาตเดินทางเข้าประเทศไทยแบบผ่อนคลายมาตรการ State Quarantine ตามข้อกำหนดฉบับที่ 12 (2) (3) (11) ออกไปก่อน เพื่อทบทวนมาตรการควบคุมให้รัดกุมและรอบคอบก่อนดำเนินการต่อไป

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ประกาศว่า ในฐานะ ผอ.ศบค.ขอรับผิดชอบตรงนี้ด้วย สิ่งสำคัญที่สุด ต้องหาวิธีการปิดจุดหละหลวมเหล่านี้ให้ได้

และขอให้เชื่อมั่นมาตรการสาธารณสุข

“ต้องหามาตรการที่เข้มข้นในการควบคุมจุดที่อ่อนไหว มีปัญหา เช่น เจ้าหน้าที่ทูต ครอบครัว บุคคลวีไอพี นักธุรกิจ ต้องเข้าพื้นที่กักกันโดยรัฐ”

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์จะนำ ศบค.ออกมาขอโทษและแสดงความเสียใจ เพื่อสยบความไม่พอใจนั้น

มีบุคคลหนึ่งที่เจอหมัดหลงจากกรณีนี้เข้าอย่างจังและตั้งแต่แรก

นั่นก็คือ บิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก

เพราะทันทีที่มีข่าวทหารอียิปต์ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และละเมิดกฎการควบคุมตัว

กระแสโลกโซเชียลก็มุ่งโจมตีไปยังผู้บัญชาการทหารบกทันควัน ว่า

นี่อาจเป็นอีกเคสหนึ่งของอภิสิทธิ์ชนที่เชื่อมโยงไปถึง “กองทัพ” หรือไม่

 

ปฏิกิริยาด้านลบที่พุ่งเข้าหา พล.อ.อภิรัชต์ ล้นหลามจนขึ้นอันดับ 1 ของอินสตาแกรม

ทั้งที่กรณีข้างต้นไม่เกี่ยวกับกองทัพบก

เป็นเรื่องของกองทัพอากาศและกระทรวงการต่างประเทศ ที่จะต้องรับผิดชอบ ดูแล

แต่ตอนแรกกระแสกลับพุ่งเข้าหากองทัพบกและ พล.อ.อภิรัชต์

ซึ่งตรงนี้อาจจะเป็น “ซากเชื้อ” ที่หลงเหลือจากกรณี พล.อ.James McConVille ผบ.ทบ.สหรัฐอเมริกา เดินทางเยือนไทย ในฐานะแขกของกองทัพบก เมื่อ 9-10 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา

ด้วยเพราะตอนแรกมีกระแสข่าวว่า ผบ.ทบ.สหรัฐและคณะ ใช้อภิสิทธิ์วีไอพี ไม่ยอมตรวจโควิด ไม่ยอมกักตัวตามมาตรการของไทย

และรวมทั้งแม้จะมีการร้องขอให้เลื่อนการเดินทางมาไทยออกไปก่อน

แต่ตามกระแสข่าวกลับระบุว่าทางสหรัฐไม่ยินยอม เนื่องจาก ผบ.ทบ.สหรัฐมีกำหนดการเยือนทั้งสิงคโปร์ มาไทย และไปญี่ปุ่นไว้แล้ว

รวมทั้งมีการระบุว่า หากมีการตรวจทางการแพทย์

ผบ.ทบ.สหรัฐขอที่จะให้ทีมแพทย์ ทบ.สหรัฐ หรือทีม AFRIMS ที่ทำงานวิจัยร่วมกับ ทบ.ไทย ที่ประจำการอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นทีมตรวจโควิด-19 แทนแพทย์ไทย

ข่าวที่สะพัดออกมาในตอนแรกดูเหมือนว่า พล.อ.อภิรัชต์จะผ่อนปรนตามการร้องขอนั้น

ส่งผลให้ทั้ง ผบ.ทบ.สหรัฐ และ พล.อ.อภิรัชต์ ถูกโจมตีอย่างหนัก

 

จนทำให้ พล.อ.อภิรัชต์ทนไม่ไหว

ต้องออกมาแถลงตอบโต้อย่างเป็นทางการ โดยยืนยัน

“ผบ.ทบ.สหรัฐยอมทำตามมาตรการของเราทุกอย่าง”

และนายกฯ ไทยไม่เคยขอให้ ผบ.ทบ.สหรัฐเลื่อนการเดินทาง

ยิ่งกว่านั้น ที่ ศบค.ได้กำชับให้ปฏิบัติตามมาตรการของสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพราะถือเป็นคณะแรกที่มาไทย จึงจะต้องทำเป็นมาตรฐาน เพื่อเป็นตัวอย่างสำหรับต่างชาติคณะอื่นที่จะมาเจรจาธุรกิจ หรือเซ็นสัญญาของนักธุรกิจ นักลงทุนต่างชาติด้วย

ทางสหรัฐก็ตกลง โดยจะให้ทีมแพทย์ของ สธ.ไทยเป็นทีมตรวจ และให้จัดทีมติดตามคณะตลอดเวลาที่อยู่ในไทย

รวมถึงจะทำการตรวจโควิดที่สหรัฐ และกักตัว 14 วันล่วงหน้ามาก่อน มีใบรับรองแพทย์ Fit to Fly และตรวจก่อนเดินทาง และมาตรวจที่สนามบินเมื่อมาถึงทันที อีกครั้ง

ไม่ได้เป็นอย่างที่โจมตีกันอย่างหนัก

 

ว่ากันว่า ที่ พล.อ.อภิรัชต์ต้องออกมาชี้แจงด้วยตัวเอง เพราะนอกจากเสียหายหนักแล้ว

ยิ่งเมื่อมีการสืบสาวราวเรื่องไป

พล.อ.อภิรัชต์ดูจะปักใจเชื่อว่า เรื่องนี้มีการเมืองภายในเข้ามาเกี่ยวข้อง

ต้องไม่ลืมว่า พร้อมๆ กันนี้ ก็ยังมีการปล่อยข่าวว่า พล.อ.อภิรัชต์จะขอต่ออายุราชการ ด้วยการดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกต่อไปอีก

การที่ข่าวลือเช่นนี้เกิดขึ้น ในช่วงก่อนฤดูกาลแต่งตั้งโยกย้ายทหารครั้งใหญ่ ที่ 4 ผู้บัญชาการเหล่าทัพจะเกษียณราชการพร้อมกันหมด และกำลังจะเลือกผู้บัญชาการเหล่าทัพชุดใหม่มาแทนนั้น จึงเหมือนการติดตั้ง “สายล่อฟ้า” เอาไว้ที่กองทัพบก

ล่อให้สายฟ้าพาดลงที่ผู้บัญชาการทหารบกนาม พล.อ.อภิรัชต์

เหมือนต้องการให้ถูกมองว่าฝ่าย พล.อ.อภิรัชต์ปล่อยข่าว โยนหินถามทาง เพื่อหยั่งเชิง หยั่งกระแสอะไรบางอย่าง

จน พล.อ.อภิรัชต์ต้องรีบออกมาจบข่าวดังกล่าว โดยยืนยัน

“30 กันยายน ผมก็ ‘ส่งธง’ แล้ว ส่งมอบหน้าที่ จบภารกิจ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องต่ออายุผม …เมื่อจบภารกิจ จบบทบาท ผมก็เซ็ตซีโร่ตัวเอง”

 

ชัดเจนถึงขนาดนั้น

แต่ดูเหมือนก็ไม่อาจสยบข่าวลือต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามาเป็นระลอกๆ

รวมถึงกรณีทหารอียิปต์ ที่ตกเป็นเหยื่อ ถูกกระหน่ำตีฟรีๆ ด้วย

และเชื่อว่าคงไม่หยุดอยู่เพียงนั้น

เพราะอย่างที่ทราบ พล.อ.อภิรัชต์นั้นเป็นเนื้อเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และเป็นกำลังหลักของขั้วอำนาจ 3 ป.

เป็นนายทหารที่มีสถานะพิเศษ ที่เป็น ผบ.หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 (ผบ.ฉก.ทม.รอ.904)

ซึ่งทำให้ถูกประเมินว่า ไม่น่าจะเซ็ตซีโร่ตัวเองได้

คงจะยังมีบทบาทต่อไป

และบทบาทนั้น ถูกมองว่า มากด้วย “อภิสิทธิ์และเอกสิทธิ์”

แม้ต้องเว้นวรรคทางการเมือง 2 ปี หลังพ้นตำแหน่ง ส.ว.เสียก่อน

แต่มีแต้มต่อเหนือหลายๆ คน กรณีจะไปต่อ

นี่เอง พล.อ.อภิรัชต์จึงเป็นเป้าถูกเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด

พร้อมกับถูกนำไปโยงใยกับเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะ “การเมือง” และ “การทหาร” ที่เชื่อว่าจะยังมีบทบาทต่อ “ดุลอำนาจ” ประเทศต่อไปและอย่างหลีกเลี่ยงยาก

จึงต้องทำใจ ประสา คนเด่น ดัง

        ที่ อะไร อะไร ก็ กรู