วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู / เสถียร จันทิมาธร / แผนลึก บาทก้าวใหม่ จิ้งหวัง (53)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร

แผนลึก บาทก้าวใหม่ จิ้งหวัง (53)

 

ข้อเสนอของเหมยฉางซูเท่ากับเป็นการผลักดันจิ้งหวังให้เข้าไปมีบทบาท ขณะเดียวกันก็เป็นบทบาทในท่ามกลางความขัดแย้ง ท่ามกลางปัญหา

ข้อท้วงติงของเหมิงจื้อคือ “ไยมิใช่เป็นการก่อศัตรู”

“คิดเข้าสู่วงโคจรนี้ไม่มีศัตรูจะเป็นไปได้อย่างไร ที่สำคัญคือคุ้มค่าหรือไม่ ผลดีจากการรับผิดชอบคดีนี้ 1 ได้ใจปวงชน 2 เสริมสร้างบารมี 3 สร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ ยิ่งกว่านั้น การล่วงเกินคนจำนวนหนึ่งย่อมได้รับการนับถือจากคนอีกจำนวนหนึ่ง

ถ้ายืนอยู่ในที่ห่างไกลก็คงไม่มีใครสังเกตเห็นการดำรงอยู่ของเขาตลอดกาล”

นี่คือจุดต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างเหมิงจื้อ สมุหราชองครักษ์ กับเหมยฉางซูซึ่งแม้จะเคยเป็นนักรบ แต่ปัจจุบันคือนักวางแผน กำหนดกลยุทธ์

เหมิงจื้อพินิจมองด้วยความตกตะลึงราวครึ่งค่อนวันค่อยระบายลมจากปากช้าๆ

“ท่านวางแผนไว้เรียบร้อยแล้วย่อมไม่มีทางผิดพลาด บนโลกนี้แต่เดิมก็ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ แม้ท่านวางหมากแต่ละตาไว้อย่างดี แต่หากฝ่าบาทไม่ทรงเห็นด้วยเล่า”

นี่คือสิ่งที่เรียกว่าสภาพในทาง “ภววิสัย” หรือบางคนแปลว่า “วัตถุวิสัย” เป็นสภาพที่อยู่เหนือการควบคุม

“พระองค์จะทรงเห็นด้วย” นี่คือความมั่นใจ

 

ความมั่นใจของเหมยฉางซูมีรากฐานมาจากปัจจัยอะไร “เพราะพระองค์ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้” เนื่องจากในบรรดาตัวเลือกที่อยู่รอบข้างองค์จักรพรรดิ

1 คือ รัชทายาท 1 คือ อวี้หวัง

เด่นชัดอย่างยิ่งว่า 2 คนนี้เป็นคู่กรณีกัน เด่นชัดอย่างยิ่งว่าแต่ละคนล้วนวางเส้นสาย โครงข่ายของตนเอาไว้ครบถ้วน

ขณะเดียวกัน “ไห่เยี่ยน” อธิบายแทน “เหมยฉางซู” ด้วยว่า

นอกจากไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ความจริงยังมีเหตุผลอีกข้อหนึ่ง นั่นก็คือ จักรพรรดิเหลียงไม่ทรงโปรดปรานจิ้งหวัง พระองค์ไม่จำเป็นต้องวิตกว่า ภารกิจครั้งนี้จิ้งหวังจะเผชิญหน้ากับความยากลำบากและผลลัพธ์อันใดที่จะตามมา

ดังนั้น กลับยิ่งง่ายในการตัดสินพระทัย

ส่วนสำหรับจิ้งหวัง นี่กลับเป็นก้าวย่างที่ 1 บนเส้นทางที่ไม่มีวันย้อนกลับอย่างแท้จริง เมื่อย่างเท้าออกไปก็ไม่อาจหันหลังกลับมาได้อีก

ถือว่าเป็น “เดดล็อก” ถือว่าเป็น “ไฟต์บังคับ”

ไม่ว่าจะมองจากราชสำนัก ไม่ว่าจะมองจากองค์จักรพรรดิ ขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะมองจากจิ้งหวังก็ตาม

 

ยังไม่ทันที่เหมิงจื้อกับเหมยฉางซูจะสนทนาอะไรกันต่อก็ปรากฏเสียงขลุ่ยดังแว่วมาจากเรือนไม้ไผ่หลังถัดไป เสียงที่หวานละห้อย อ้อยอิ่ง

เหมยฉางซูเอนร่างพิงพนักไม้ไผ่ ขนตาหลุบต่ำ

สงบใจฟังเสียงขลุ่ยกังวานใสอันพลิ้วมาตามสายลม กระทั่งท่วงทำนองจบลงค่อยระบายลมหายใจยาวเหยียด

“ข้าเข้าเมืองหลวงมาเพื่อกำราบพยัคฆ์สยบมังกร ท่วงทำนองนี้ของอาสิบสามรันทดท้อเกินไปแล้ว”

พลันปรากฏผู้สูงวัยร่างผอมสูงคนหนึ่งเดินออกมาจากเรือนด้านข้างซึ่งมีระแนงไม้ไผ่ 2 แถวคั่นกลาง อาภรณ์ดับสนิทขับให้เด่นชัดขึ้นมาท่ามกลางม่านหมอกหนาทึบของป่าไผ่ให้ความรู้สึกเลือนรางไม่ชัดเจนชนิดหนึ่ง

เมื่อบรรลุถึงชานเรือนกลับยังไม่ตรงเข้าด้านใน เพียงยอบกายคุกเข่าลงที่เชิงบันไดกล่าว เสียงทุ้มต่ำ

“สิบสามได้พบเจ้านายน้อย ได้รำลึกถึงอดีต จิตใจหงอยเหงา มิคาดกลับรบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของเจ้านายน้อย สมควรตายจริงๆ”

ในดวงตาเหมยฉางซูปรากฏวี่แววคิดถึงวันวารเช่นกัน

“อาสิบสามรู้ใจข้ายิ่งนัก ยามนี้ไม่ต้องมากพิธี รีบเข้ามาก่อน”

เหมิงจื้อเคยสังกัดกองทัพอัคคีแดงมาก่อนพอจะรู้ว่าข้างกายมารดาของหลินซูห์มีนักดนตรีประจำตัวคนหนึ่ง เขารับตำแหน่งในเมืองจินหลิงมาหลายปี ดังนั้น เคยได้ยินชื่อเสียง “ท่านสิบสาม” ผู้รังสรรค์บทเพลงให้แก่หอเสียงสวรรค์มาได้บ้าง

ทว่ากลับไม่เคยเชื่อมโยงทั้ง 2 คนนี้เข้าด้วยกัน ยามนี้พอเห็นภาพตรงหน้า ในใจพลันกระจ่างและอดรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมามิได้

 

จังหวะก้าวนี้ของเหมยฉางซูเป็นจังหวะก้าวอันละเอียดอ่อน นับแต่การค้นพบ “บ่อร้างพรางศพ” นับแต่การเกิดกรณีการสังหารที่หอเสียงสวรรค์

กระทั่ง การโยงคดีรุกยึดครองที่ดินของซิงกั๋วกง

หากมองกรณีโหลวจื้อจิงกับคนของพรรคบูรพานที หากมองกรณีการสังหารกลางเมืองที่หอเสียงสวรรค์ หากมอง “ท่านสิบสาม” กับคนตระกูลหลิน

ทุกอย่างล้วนเหมือนเส้นไหมแดงร้อยเชื่อมเป็นกรณีเดียวกันหมด