“ชิพ” ไม่อยู่

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้

ไม่รู้ว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ-นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย “กำนัน” และ “ผู้ใหญ่บ้าน” ของม็อบ กปปส.

รวมทั้งแกนนำพรรคประชาธิปัตย์จะยังคิดและทำเหมือนเดิมไหม

ตั้งแต่การชุมนุมใหญ่ไล่รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์”

ไม่ยอมรับการยุบสภา

เรียกร้องให้มีการปฏิรูปก่อนเลือกตั้งแบบลมๆ แล้งๆ

ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ก็คว่ำบาตรการเลือกตั้ง ไม่ส่งผู้สมัคร เพื่อให้การเลือกตั้งใหม่หลังยุบสภาล้มเหลว

ทุกกระบวนการ คือการเปิด “ไฟเขียว” ทางการเมือง

เปิดทางให้มีการรัฐประหารเมื่อปี 2557

วันนั้น แกนนำพรรคประชาธิปัตย์คงคิดว่า คสช.จะอยู่ในอำนาจไม่นาน

และไม่มีการสืบทอดอำนาจ

แต่ทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่คิด

คสช.อยู่ในอำนาจยาวนานถึง 5 ปี

และร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อสืบทอดอำนาจ

พร้อมกับตั้งพรรคพลังประชารัฐขึ้นมา

ก่อนเลือกตั้ง “ประชาธิปัตย์” แตกออกเป็น 3 ส่วนทันที

ส่วนแรก ยังปักหลักอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์

ส่วนที่สอง “สุเทพ เทือกสุบรรณ” แกนนำ กปปส. เชื่อมั่นในพลังมวลมหาประชาชน แยกออกไปตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย

และส่วนที่ 3 “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ-พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” ไปร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ

หลังการเลือกตั้ง ดูเหมือนจะมีเพียงแต่กลุ่มที่ไปร่วมกับพรรคพลังประชารัฐเท่านั้นที่ “กำไร”

เพราะได้เป็นรัฐมนตรีแบบ “เรียนลัด”

แต่ “สุเทพ” และ “ประชาธิปัตย์” ขาดทุนยับเยิน

“สุเทพ” เดินคารวะแผ่นดินทั่วประเทศ ตั้งเป้าหมาย ส.ส. 50 คน คะแนนทั่วประเทศ 3.5 ล้านคะแนน

แต่ได้ ส.ส.เพียง 5 คน และ 390,000 คะแนน

ไม่มีแล้วมวลมหาประชาชน

ส่วน “ประชาธิปัตย์” จาก 159 คนในการเลือกตั้งเมื่อปี 2554

ได้ ส.ส.เพียง 53 คน

ภาคใต้ และ กทม. โดนพรรคพลังประชารัฐตีแตกกระจุย

“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ต้องลาออกจากหัวหน้าพรรค

เกิดความแตกแยกในพรรคอย่างรุนแรง มีแกนนำหลายคนลาออก

บางคนออกไปตั้งพรรคใหม่

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากเหตุผลเพียงเรื่องเดียวคือ ไม่ยึดมั่นระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาอย่างที่เคยประกาศไว้

เพียงคิดแค่เอาชนะ

คิดถึง “ผล” โดยไม่สนใจ “วิธีการ”

เมื่อ “หลัก” ไม่แน่น

“ชิพ” แห่งอุดมการณ์ที่ฝังแน่นในพรรคก็ “หาย”

สภาพ “ชิพไม่อยู่” จึงบังเกิดขึ้น

…แค่นั้นเอง