จิตต์สุภา ฉิน : กล้องวงจรปิดปากโป้ง

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin

วันก่อนได้คุยกับเพื่อนที่มีลูกสาวอยู่ในวัยเจื้อยแจ้วที่เริ่มดูแลตัวเองได้และอยากมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น

เพื่อนเล่าให้ฟังว่า เพื่อความปลอดภัย ห้องนั่งเล่นที่บ้านก็จะติดกล้องวงจรปิดแบบเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตเอาไว้ให้พ่อ-แม่คอยล็อกอินเข้ามาตรวจตราความเรียบร้อยได้ทุกเมื่อ

แต่ด้วยความคิดถึงและมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับลูกอยู่แล้ว พ่อ-แม่ก็มักจะชอบล็อกอินเข้ามาดูฟีดภาพและหยอกแซวลูกอยู่บ่อยๆ เวลาเห็นลูกทำอะไรตลกๆ

ส่วนลูกที่อยู่ในวัยกำลังโตก็ตอบโต้ด้วยการไม่ออกจากห้องนอนของตัวเองเสียเลย พ่อ-แม่จะได้ไม่ต้องเห็น

เมื่อหลายเดือนก่อนมีข่าวดังที่ฉันก็หยิบมาเขียนถึงในคอลัมน์นี้มาแล้ว คือการที่แฮกเกอร์เจาะเข้าไปในกล้องวงจรปิดของบ้านหลังหนึ่ง เนื่องจากเป็นกล้องชนิดที่มีทั้งไมโครโฟนและลำโพงก็เลยทำให้แฮกเกอร์สามารถเปิดเพลงล่อให้เด็กวัย 8 ขวบในบ้านเดินเข้ามาในห้องและเริ่มพูดคุยด้วย

ข่าวนี้ทำให้คนเป็นพ่อ-แม่ทั่วโลกที่ติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ในบ้านต้องขนลุกเกรียวและรีบศึกษาหาวิธีว่าทำอย่างไรภาพจากกล้องที่ติดเอาไว้ในบ้านจึงจะมีไว้ให้คนในบ้านดูเท่านั้น และไม่ถูกล่วงล้ำเข้ามาโดยคนแปลกหน้าได้

 

เรื่องเดิมยังไม่ทันหายดี ล่าสุดก็เพิ่งจะมีผลวิจัยที่ออกมาเตือนถึงช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่อาจจะเกิดขึ้นได้กับการติดตั้งกล้องวงจรปิดในบ้านอีกแล้ว เพราะผลวิจัยคราวนี้พบว่ากล้องวงจรปิดแบรนด์ดังๆ บางตัว อาจจะส่งสัญญาณบอกโจรได้ว่ามีหรือไม่มีคนอยู่บ้านในช่วงเวลานั้นๆ โดยที่โจรไม่จำเป็นต้องดูภาพเองเลยด้วยซ้ำ

การวิจัยโดย Queen Mary University of London หรือ QMUL และ Chinese Academy of Science ในครั้งนี้ใช้ข้อมูลที่ได้มาจากผู้ผลิตกล้องวงจรปิดประเภท IP หรือกล้องที่เชื่อมต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ตให้ผู้ใช้สามารถเปิดเข้ามาดูภาพจากที่ไหนก็ได้ตราบใดที่สามารถต่ออินเตอร์เน็ตได้ ซึ่งก็ได้กลายเป็นกล้องที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงหลายปีมานี้

นักวิจัยบอกว่า ทราฟิกหรือรูปแบบการใช้งานอินเตอร์เน็ตที่สร้างขึ้นโดยอุปกรณ์เหล่านี้สามารถชี้ชัดได้เลยว่า ในช่วงเวลานั้นมีคนอยู่ในบ้านหรือไม่

วิธีที่จะบอกได้ก็คือ ข้อมูลที่อุปกรณ์เหล่านี้อัพโหลดขึ้นไปบนอินเตอร์เน็ตจะเพิ่มปริมาณสูงขึ้นเมื่อกล้องสามารถบันทึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่

ดังนั้น แม้ว่าผู้ไม่หวังดีจะไม่สามารถเห็นภาพบรรยากาศภายในบ้านได้ แต่แค่ได้เห็นปริมาณข้อมูลที่อัพโหลดขึ้นไปก็พอจะบอกได้แล้วว่า ข้อมูลเยอะแปลว่ามีความเป็นไปได้ที่คนจะอยู่ในบ้านและเคลื่อนไหวขยับตัวไปมา

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ข้อมูลอัพโหลดน้อย นั่นก็แปลว่าบ้านน่าจะว่างเปล่าไม่มีใครอยู่เลย

เมื่อดูจากทราฟฟิกนี้สามารถบอกได้ด้วยซ้ำว่าคนที่อยู่ในบ้านน่าจะกำลังมีการเคลื่อนไหวตัวแบบไหน เด็กกำลังวิ่งเล่นไปมา หรือใครบางคนกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ เพราะรูปแบบการอัพโหลดแต่ละประเภทการเคลื่อนไหวก็ไม่เหมือนกันด้วย

ความเสี่ยงจะเกิดขึ้นหากมีใครสักคนที่มุ่งเป้าไว้แล้วว่าจะจับตาดูบ้านหลังไหน และมีอุปกรณ์ที่จะเฝ้าดูทราฟฟิกอินเตอร์เน็ตของบ้านหลังนั้น โดยจะต้องเป็นคนที่พอจะมีความรู้เรื่องเทคโนโลยีและสามารถอ่านข้อมูลเหล่านี้ได้ แต่นักวิจัยก็เชื่อว่าสักวันน่าจะมีใครสักคนพัฒนาโปรแกรมที่ทำแบบนี้แทนได้และเอามาขายทำกำไรบนออนไลน์

แม้ว่าในตอนนี้จะยังไม่มีรายงานว่ามีการเข้าไปยกเค้าบ้านหลังที่ไม่มีคนอยู่จากการดูทราฟฟิกด้วยวิธีนี้ แต่นักวิจัยก็บอกว่ามันเป็นช่องโหว่ที่เกิดขึ้นได้

และหากนั่งเฝ้าดูทราฟฟิกสักระยะหนึ่ง โจรก็จะเริ่มเห็นรูปแบบข้อมูลที่ส่งมาจากกล้องและจะเริ่มทำนายได้ว่าช่วงเวลาไหนที่มีความน่าจะเป็นสูงที่สุดที่จะไม่มีใครอยู่บ้านเลย

 

เมื่อฉันพยายามหาข้อมูลเพิ่มเติมว่าแล้วในฐานะผู้ใช้งานอย่างเราๆ จะสามารถลดความเสี่ยงของการตกเป็นเหยื่อด้วยช่องโหว่นี้ได้ทางไหนบ้าง ก็พบเว็บไซต์ Inputmag ที่บอกว่าเราอาจจะต้องหากลยุทธ์ใหม่ๆ มารับมือกันไปก่อน

เว็บไซต์นี้บอกว่า แม้ว่ากล้องที่ใช้ดูแลความปลอดภัยในบ้านจะใช้การเข้ารหัสขั้นสูง แต่ต่อให้ป้องกันแน่นหนาแค่ไหนกล้องก็ยังต้องส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายภายในบ้านอยู่ดี

ดังนั้น วิธีที่เราพอจะทำได้ก็อาจจะเป็นการหาวัตถุอะไรบางอย่างที่เคลื่อนไหวได้มาวางไว้หน้ากล้องเพื่อสร้างข้อมูลแม้ว่าจะไม่มีใครอยู่บ้าน

อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ก็ยังมีความเสี่ยงเพราะเป็นการป้องกันที่ขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้ล้วนๆ และดีไม่ดี ใช้วิธีนี้บ่อยๆ ก็จะเริ่มเกิดเป็นรูปแบบซ้ำๆ ให้โจรจับได้อีก

ส่วนวิธีป้องกันที่นักวิจัยนำเสนอและเป็นวิธีที่ทำได้จริงและยั่งยืนกว่าก็คือ บริษัทผู้ผลิตสามารถช่วยได้ด้วยการสุ่มฉีดข้อมูลเข้าไปในระบบเพื่อให้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถจับรูปแบบของข้อมูลได้

วิธีนี้บริษัทผู้ผลิตกล้องสามารถทำเองได้เลย และสามารถกำจัดจุดอ่อนได้จริงโดยที่ไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้งานของผู้ใช้กล้องเลย

การจะไปคาดหวังให้กล้องเก่งกาจกว่านั้นก็อาจจะยาก เนื่องจากในปัจจุบันกล้องเหล่านี้จะทำงานในรูปแบบพื้นฐานคืออัพโหลดข้อมูลก็ต่อเมื่อตรวจจับความเคลื่อนไหวได้เท่านั้น เพื่อที่ต้นทุนของกล้องจะได้ไม่สูงเกินไปนัก

ขั้นกว่าของการพัฒนากล้องหลังจากนี้ ก็จะต้องเป็นระบบอัจฉริยะที่กล้องจะเข้าใจความเคลื่อนไหว ประเมินระดับความเสี่ยง และจะอัพโหลดภาพและเตือนผู้ใช้งานก็ต่อเมื่อกล้องรู้สึกว่ามันมีความสำคัญมากพอเท่านั้น

 

ฉันว่าบริษัทผู้ผลิตกล้องก็คงต้องนั่งลงพิจารณาอย่างจริงจังแล้ว หลังจากผลวิจัยนี้ตีพิมพ์ออกมาก็จะทำให้วิธีนี้เป็นที่รู้กันมากขึ้นในวงกว้าง และแม้ว่าก่อนหน้านี้จะยังไม่มีเคสให้เห็นว่ามีการฉวยโอกาสจากช่องโหว่นี้และก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริงๆ แต่หลังจากนี้ไปก็ไม่แน่เหมือนกัน

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ฉันคิดว่ากล้องวงจรปิดก็จะยังต้องเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เพราะการได้รู้ ได้เห็นความเคลื่อนไหวภายในบ้านอยู่ตลอดเวลามันก็เป็นความอุ่นใจในแบบหนึ่ง แต่จะทำอย่างไรให้การใช้งานกล้องประเภทนี้ให้คุณประโยชน์กับเราเท่านั้น และไม่กลายมาเป็นอาวุธที่จะทำร้ายเราได้ ซึ่งการจะทำให้มันปลอดภัยที่สุดไม่ใช่อาศัยแค่ตัวเราเท่านั้น แต่บริษัทผู้ผลิตก็จะต้องมีความรู้และความรับผิดชอบด้วย

และถ้าจะทำให้ลูกยอมรับการอยู่ร่วมกับกล้องวงจรปิดในบางพื้นที่ของบ้าน ก็อาจจะต้องทำไม่รู้ไม่เห็นบ้างเวลาลูกแคะจมูกหรือเกาก้นต่อหน้ากล้อง 555