กรองกระแส / สถานการณ์กดดัน ทั้งเศรษฐกิจ และการเมือง สถานการณ์ปรับ ครม.

กรองกระแส

 

สถานการณ์กดดัน

ทั้งเศรษฐกิจ และการเมือง

สถานการณ์ปรับ ครม.

 

ในเมื่อมีองค์ประกอบถาโถมเข้ามามากมายล้วนแต่นำไปสู่ความจำเป็นที่จะต้องมีการปรับ ครม.ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะจากเงื่อนไข 1 การอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ

1 การลาออกจากหัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทยของ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล

1 การพ้นจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐของนายอุตตม สาวนายน การพ้นจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐของนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์

ทั้งเป็นการพ้นในลักษณะอันมีการกดดัน รุกไล่

ไม่ว่าจะจากภายในพรรครวมพลังประชาชาติไทยอันเห็นได้จากการเสนอชื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานคนใหม่เข้ามา

ไม่ว่าจะเป็นปฏิบัติการแข็งกร้าวดุดันภายในพรรคพลังประชารัฐ

ไม่เพียงแต่ปลดระดับหัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค หากแม้กระทั่งนายทะเบียนพรรค หรือกรรมการบริหารในเครือข่ายก็ถูกขับออกไปจนหมดสิ้น

แล้วเหตุใดการปรับ ครม.จึงต้องทอดเวลายาวออกไปโดยไม่มีกำหนด

 

หน้าที่ปรับ ครม.

กับนายกรัฐมนตรี

มีความแจ่มชัดเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะจากพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจะจากพรรครวมพลังประชาชาติไทย ไม่ว่าจะจากพรรคภูมิใจไทย ไม่ว่าจะจากพรรคประชาธิปัตย์

แจ่มชัดว่า อำนาจในการปรับ ครม.เป็นของนายกรัฐมนตรี

แต่สภาพความเป็นจริงในทางการเมืองนับแต่การยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจเป็นต้นมามีความเด่นชัดยิ่งว่าจำเป็นต้องปรับ ครม.

ยิ่งเมื่อเข้าสู่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ความเรียกร้องต้องการในการปรับ ครม.ยิ่งขึ้นสู่กระแสสูง ไม่เพียงเพราะความบกพร่องในห้วงแห่งการเผชิญกับไวรัสโควิด-19 เท่านั้น

หากที่สำคัญเป็นอย่างมากคือ ความเรียกร้องต้องการในการเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจ

เป็นแรงกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในระดับโลก เป็นผลสะเทือนจากมาตรการ “เข้ม” ในห้วงแห่งการปิดเมือง ปิดงาน ปิดอาชีพ ภายใต้การประกาศและบังคับใช้สถานการณ์ฉุกเฉิน

จำเป็นต้องเข้าสู่ “นิวนอร์มอล” จำเป็นต้องมีการปรับ ครม.เพื่อรับมือกับ “สถานการณ์”

 

กระสวนปรับ ครม.

ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ความจริง เมื่อ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล อำลาตำแหน่งหัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทย ขณะที่พรรครวมพลังประชาชาติไทยเสนอตัวรัฐมนตรีคนใหม่มาให้นายกรัฐมนตรี

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถปรับ ครม.ได้โดยอัตโนมัติ

เพราะว่าตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นไปตามสัดส่วนและโควต้าของพรรครวมพลังประชาชาติไทย จึงเป็นเรื่องที่สามารถต่อเนื่องไปได้เลย

ความล่าช้าในการปรับ ครม.จึงน่าจะมาจากปัจจัยอื่น

เป็นปัจจัยจากปัญหาและความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐที่เกิดปรากฏการณ์เปลี่ยนตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคอย่างชนิดถอนรากถอนโคนมากกว่า

นั่นก็คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เข้าไปแทนที่นายอุตตม สาวนายน

เมื่อภายในพรรคพลังประชารัฐต้องการเปลี่ยนแปลง หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค กรรมการบริหารพรรคอย่างชนิดถอนรากถอนโคนจึงกลายเป็นความหนักใจของนายกรัฐมนตรี

เพราะย่อมสะเทือนถึงตำแหน่งอันเป็นโควต้าของพรรคพลังประชารัฐไปด้วย

 

ผลดีและผลร้าย

จากการปรับ ครม.

เหมือนกับการทอดเวลายาวนานออกไปในการปรับ ครม.จะสะท้อนให้เห็นอำนาจและการควบคุมบงการรัฐบาลอยู่ในมือของนายกรัฐมนตรี ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

แต่ความเป็นจริง ยิ่งล่าช้ายิ่งสะท้อนความขัดแย้งภายใน

หากว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังคงรักษาตำแหน่งไว้ให้กับนายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ ยิ่งจะขยายความขัดแย้งให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น

เพราะ 3 คนนี้ถูกกดดันจากภายในพรรคพลังประชารัฐอย่างรุนแรง แข็งกร้าว

ขณะเดียวกัน หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปฏิบัติตามข้อเสนออันมาจากกลุ่มกุมอำนาจใหม่ภายในพรรคพลังประชารัฐ ความขัดแย้งก็ไม่ยุติลงอย่างง่ายดาย

เพราะเท่ากับสร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มของนายอุตตม สาวนายน

การปฏิเสธกลุ่มของนายอุตตม สาวนายน ซึ่งมีส่วนกับรัฐบาลตั้งแต่ยุคหลังรัฐประหาร เท่ากับเป็นการปฏิเสธผลงานที่คิดว่าเป็นความสำเร็จของตนเอง

เท่ากับยอมรับว่า 6 ปีที่ผ่านมาเป็นความล้มเหลวมากกว่าความสำเร็จ

 

สถานการณ์กดดัน

จำต้องปรับ ครม.

ความเรียกร้องต้องการในขณะนี้มิได้เป็นความเรียกร้องต้องการจากภายในพรรคพลังประชารัฐ จากภายในพรรครวมพลังประชาชาติไทย ให้มีการปรับ ครม.เท่านั้น

หากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง ก็เรียกร้องอย่างจริงจัง

สถานการณ์เศรษฐกิจภายหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ต้องการความเชื่อมั่นจากรัฐมนตรีที่จะนำพาประเทศชาติให้รอดพ้นไปจากวิกฤตอันหนักหนาสาหัส

หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 มากมายหลายเท่า

สถานการณ์การเมืองภายหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เรียกร้องการเมืองใหม่ อย่างที่เรียกกันว่า “นิวนอร์มอล” เพื่อสร้างความหวังใหม่ในการเมือง

       การเมืองที่สร้างสรรค์ การเมืองที่สามารถแก้ปัญหาและนำพาประเทศตีฝ่าพ้นไปจากวิกฤต