ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 กรกฎาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ยานยนต์ |
ผู้เขียน | สันติ จิรพรพนิต |
เผยแพร่ |
ยานยนต์ สุดสัปดาห์/สันติ จิรพรพนิต [email protected]
FIRST TIME ‘รีโว่ ร็อกโค’
ปิกอัพ 4 ประตูอารมณ์เอสยูวี
ด้วยความบังเอิญ หรือชะตาลิขิตก็ไม่ทราบได้ จู่ๆ ก็ได้ปิกอัพ 4 ประตูรุ่นที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน โตโยต้า รีโว่ “ร็อกโค” (Rocco) มาอยู่ในกำมือเสียหลายวัน
ที่ว่าบังเอิญเพราะไม่ตั้งใจหรือติดต่อไปเพื่อขอยืมรถรุ่นนี้มาทดสอบ แต่เป็นเพราะตรงคิวว่างของรถพอดี โตโยต้าจึงประสานมายังนักข่าว “ข่าวสดยานยนต์” ถามว่าสนใจหรือไม่
จัดไปสิครับ…รออัลไร
โตโยต้า รีโว่ “ร็อกโค” เป็นปิกอัพตัวแต่งแบบจัดเต็ม ซึ่งปกติแล้วที่ผ่านมาจะปล่อยออกมาหลังจากรุ่นปกติออกวางจำหน่ายไปสักระยะหนึ่ง
แต่ในคราที่โตโยต้าอวดโฉม “รีโว่” และ “ฟอร์จูนเนอร์” ใหม่ กลับส่งออกมาพร้อมๆ กัน
เรียกว่าทำให้ตลาดรถปิกอัพและพีพีวี หรือปิกอัพดัดแปลงบ้านเรา กระชุ่มกระชวยขึ้นมาท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจ และปัญหาโควิด-19
รุ่นที่ได้มาเป็นตัวท็อป เครื่องยนต์ 2.8 ลิตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ
หน้าตาภายนอกกระจังหน้าทรงเหลี่ยมเข้มคล้ายกับปิกอัพฟูลไซซ์จากอเมริกา “Tacoma” เพิ่มความคมเข้มด้วยสีดำด้าน ตัดกับแถบสีเงิน
โคมไฟโปรเจ็กเตอร์ Bi-LED พร้อมระบบเปิด-ปิด และปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติ ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน LED อยู่ในโคมเดียวกัน
ไฟตัดหมอกเป็นแบบ LED เช่นกัน
ด้านข้างโชว์ซุ้มล้อขนาดใหญ่สีดำ แต่แซมด้วยสีตัวรถแทรกเข้ามาในบางจุด เป็นลูกเล่นที่ดูดีทีเดียว
ด้วยความสูงของรถทำให้ต้องใส่บันไดข้างมาให้ด้วย
กระจกมองข้างสีดำพร้อมไฟเลี้ยว
มือจับประตูเป็นสีดำ เอกลักษณ์ของรุ่นนี้เช่นกัน
เช่นเดียวกับสปอร์ตบาร์บริเวณกระบะหลังใช้สีดำเช่นกัน
ไฟท้ายเปลี่ยนมาใช้แบบ LED Light Guiding
ฝาเปิดด้านท้ายดีไซน์ดูดี มีลูกเล่นบริเวณที่เปิด-ปิดเล็กน้อย และการเปิดมีระบบช่วยผ่อนแรง ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะร็อกโคเช่นกัน
ล้ออัลลอยสีดำเงาลายใหม่เอกลักษณ์เฉพาะรุ่นนี้เท่านั้น ขนาด 18 นิ้ว รัดด้วยยาง 265/60 ดูจากสายตาใหญ่โตโอฬารจริงๆ ซึ่งแน่นอนว่าการใส่ยางแก้มหนาขนาดนี้นอกจากความสง่าของรถจะเพิ่มขึ้นแล้ว ความนุ่มนวลยามขับขี่แบบ “ออนโรด” สบายมากขึ้น
ภาพรวมภายนอกดูบึกบึนและให้ความสปอร์ตจากชุดแต่งต่างๆ
ห้องโดยสารเน้นโทนดำตัดกับสีเงินแซมในบางจุด คอนโซลหน้าออกแบบคล้ายกับหนังแต่เป็นพลาสติกแข็ง มองแล้วดูดีทีเดียว ด้านบนคาดเส้นสีเงินและแทรกด้วยสีดำเงาแบบเปียโนแบล๊ก
พวงมาลัย 3 ก้านระบบมัลติฟังก์ชั่น ปรับ 4 ทิศทางขึ้น-ลง ดึงเข้า-ออก พร้อมระบบบังคับเลี้ยวแบบ VFC (Variable Flow Control) ปรับน้ำหนักพวงมาลัยให้เหมาะสมในทุกช่วงความเร็ว
มาตรวัดดีไซน์ใหม่ดูสวยไม่ต่างจากเก๋งหรูๆ หรือเอสยูวี ตรงกลางเป็นจอแสดงข้อมูลการขับขี่ TFT และแสดงตำแหน่งองศาของล้อ
ขยับมาตรงกลางหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay เชื่อมต่อทุกความบันเทิงได้อย่างอิสระ มีช่อง USB / Bluetooth ลำโพง 6 ตำแหน่ง พร้อม T-Connect ระบบเชื่อมต่อรถและผู้ใช้รถให้เป็นหนึ่งเดียว
ระบบแอร์อัตโนมัติ ใกล้ปุ่มแอร์เป็นปุ่มปรับระบบขับเคลื่อน
หัวเกียร์เป็นหนังแซมด้วยสีดำเงา แบบขั้นบันได
เบาะหลังนั่งสบายพอสมควรแม้พนักพิงจะชันไปนิด แต่นิดเดียวจริงๆ อย่างไรก็ตาม ด้วยเลกรูมที่เหลือเฟือทำให้ปรับท่านั่งได้สบายขึ้น ที่นั่งตรงกลางสามารถดึงพนักมาลงกรณีนั่งเพียง 2 คน มีที่วางแก้วน้ำให้ 2 ตำแหน่ง
โตโยต้ายังใส่รายละเอียดให้เบาะเพราะสามารถพับเบาะขึ้นด้านบน มีเชือกแขวนไว้กับที่พิงศีรษะ
ประโยชน์ก็คือ หากต้องวางของหนักๆ หรือทรัพย์สินมีค่าแต่กังวลว่าจะทำให้เบาะเสียหาย สามารถพับขึ้นแล้ววางของกับพื้นรถได้
เจาะช่องแอร์หลังบริเวณหลังกล่องเก็บของด้านคนขับ เพื่อให้เย็นสบายทั่วทั้งคัน
นั่งภายในทั้งการตกแต่ง อุปกรณ์ต่างๆ ไม่ได้ต่างจากเอสยูวีเลยแม้แต่น้อย
ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบแถวเรียง ขนาด 2.8 ลิตร พร้อมเทอร์โบ กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 3,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,800 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด
นอกจากนี้ ปรับรอบเดินเบาจากเดิม 850 รอบต่อนาทีลงมาเหลือ 680 รอบต่อนาที เพื่อสมรรถนะในการลุยทางฝุ่นทางโคลนดียิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันมีการเสริมฟีเจอร์แจ้งเตือนมุมองศาเลี้ยวของล้อ และเซ็นเซอร์เตือนมุมกันชนหน้าหลังกับด้านท้าย
ส่วนรุ่นอื่นใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบแถวเรียง 2.4 ลิตร 150 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร
เปลี่ยนช่วงล่างมาเป็นแบบ Super Flex Suspension จัดการปรับโช้กให้เข้ากับแหนบหลังที่เหลือ 3 แผ่น จากเดิม 5 แผ่น และวัสดุแหนบชนิดใหม่ใช้เหล็ก High-Tensile Steel
ครั้งแรกกับการติดตั้งระบบความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลกของรถโตโยต้า (Toyota Safety Sense) ด้วยเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยขั้นสูงสุด
อาทิ ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System)
ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ (Dynamic Radar Cruise Control) โดยใช้เรดาร์ที่อยู่บริเวณโลโก้หน้ารถ
ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมหน่วงกลับอัตโนมัติ (Lane Departure Alert)
ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน ใช้ได้ดีเวลาขับขึ้นลานจอดรถในห้างที่ชันๆ แล้วต้องไปหยุดกลางทาง รถจะไม่ไหลมาชนกับคันหลัง
ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชันช่วยได้เยอะหากไปเที่ยวภูเขา เพราะรถไม่ต้องเบรกบ่อยๆ ในช่วงขับลงเขา
ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง
กล้องมองหลัง ฯลฯ
กดุปุ่มสตาร์ต เสียงเครื่องยนต์ไม่ได้ดังจนน่าตกใจ
อัตราเร่งตีนต้น กลาง ปลาย ไหลได้ราบรื่น
ความเร็วระดับ 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถือว่าทำได้ค่อนข้างเร็ว
สิ่งที่สัมผัสได้ชัดเจนคือความนุ่มนวล ที่ดีขึ้นกว่ารุ่นเก่าชัดเจน
การเข้าโค้งหากไม่ได้รุนแรงนัก ระบบต่างๆ ช่วยได้พอสมควร
การกระชากเปลี่ยนเลนแรงๆ มีป้ายปัดบ้างเล็กๆ แต่ไม่ถึงกับเอาไม่อยู่
อย่างไรก็ตาม การทดสอบครั้งนี้ด้วยความสูงของตัวรถ และความเป็นกระบะ ผมจึงไม่เน้นเรื่องความเร็ว หรือการสาดโค้งแรงๆ มากนัก
ที่ชอบไม่พ้นระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ ที่จะเร่ง-ลดความเร็วตามรถคันหน้า แม้ไม่ได้เต็มระบบเหมือนเอสยูวี ที่สามารถช่วยเบรกได้จนหยุดนิ่ง เพราะระบบจะตัดการทำงานเมื่อความเร็วต่ำกว่า 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง
แต่ถือว่าสบายพอสมควรในยามขับทางไกล
ส่วนระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน โดยส่วนตัวผมชอบเป็นพิเศษเพราะพวงมาลัยจะดึงกลับเบาๆ พร้อมมีเสียงเตือน ไม่ถึงกับทำให้ตกใจหรือขืนมือมากเกินไป
โดยรวมแล้วโตโยต้า รีโว่ “ร็อกโค” เป็นกระบะ 4 ประตูอเนกประสงค์ที่อารมณ์ใกล้เคียงกับเอสยูวีพอสมควร
แม้ราคาตัวท็อปจะแรงพอสมควร อยู่ที่ 1,239,000 บาท
แต่มีรุ่นเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ราคาเริ่มต้นที่ 949,000 บาท ให้เลือกด้วยเช่นกัน