บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ / แบบนี้ก็รอวัน ‘เจ๊ง’

บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ

แบบนี้ก็รอวัน ‘เจ๊ง’

 

มีแต่ความอึมครึมไร้ทิศทางว่าทีมเศรษฐกิจรัฐบาลชุดปัจจุบันจะได้ทำงานต่อไปนานสักแค่ไหน หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ไปเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แทนนายอุตตม สาวนายน พร้อมกับการเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ที่มีผลให้ทีม 4 กุมารของนายอุตตม ไม่มีรายชื่ออยู่ในกรรมการบริหารชุดใหม่เลย

การเปลี่ยนแปลงหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากกลุ่มอื่นในพรรค ออกมาเขย่า ตีเข่า ตีศอก ใส่ทีม 4 กุมาร มาพักใหญ่แล้ว ด้วยข้อหาว่าไม่มีปฏิสัมพันธ์กับ ส.ส.ในพรรคเท่าที่ควร ไม่อบอุ่นเหมือนลุงป้อม

แต่อันที่จริง น่าจะเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อหาทางกดดันให้มีการปรับ ครม.มากกว่า จึงทำให้คนพรรคนี้ไม่สนใจกาลเทศะ ทั้งที่ประเทศอยู่ในช่วงวิกฤตไวรัสโควิด-19 จนถูกสังคมประณามว่าออกมาป่วนเพื่อแย่งชามข้าว มากกว่าจะสนใจแก้ปัญหาปากท้องประชาชน

หากดูจากโพลจัดทำโดยซูเปอร์โพล จะพบว่าประชาชนรู้สึกเห็นใจและหดหู่ใจที่ทีม 4 กุมารถูกผู้ใหญ่และสมาชิกในพรรคกระทำอย่างไม่ยุติธรรม อีกทั้งพบว่าประชาชนพึงพอใจผลงานของนายอุตตม สาวนายน ในฐานะ รมว.คลัง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน รวมทั้งนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ

ทีม 4 กุมาร ถือว่าอยู่ในสายของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ร่วมงานกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์มาตั้งแต่สมัยเป็นรัฐบาล คสช. ประกอบด้วยนายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ฯ และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง

การกระทำของสมาชิกพรรคพลังประชารัฐต่อทีม 4 กุมาร ซึ่งเป็นผู้ร่วมบุกเบิกก่อตั้งพรรค และเป็นนั่งร้าน มือไม้ทำงานให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มานาน หากมองจากสายตาสังคมถือว่าโหดร้าย ไร้ศีลธรรม ซึ่งสังคมไทยไม่ชอบแบบนี้ ทั้งที่ว่าไปแล้ว ทีมเศรษฐกิจของ 4 กุมารยังไม่มีใครด่างพร้อยในประเด็นทุจริต ในขณะที่แว่วๆ ว่าคนที่จะมานั่งตำแหน่งรัฐมนตรีแทน 4 กุมาร เป็นพวกที่มีปัญหาทุจริตมาก่อน

 

หลังจากเปลี่ยนหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคเสร็จแล้ว สมาชิกพรรคนี้ก็ออกมาพูดอย่างเหิมเกริมว่าจะมอบหมายให้นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกรัฐบาลและเหรัญญิกพรรค มาคุมทีมเศรษฐกิจ จึงทำให้สังคมภายนอกเข้าใจว่านางนฤมลจะมาแทนที่นายสมคิด

หลังจากเกิดปฏิกิริยาทางลบจากสังคม สมาชิกคนนั้นก็ออกมาแก้เกี้ยวว่า นางนฤมลจะเป็นแค่คนคุมนโยบายเศรษฐกิจของพรรค ไม่ใช่ของรัฐบาล

การออกมาแสดงท่าทีกระหายตำแหน่งอย่างโจ่งแจ้งแบบไม่เกรงใจ 4 กุมารและนายสมคิดเลยเช่นนี้ คงเป็นการยากที่จะมองหน้ากันติด ซึ่ง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ หนึ่งในก๊วนที่สนับสนุน พล.อ.ประวิตร ก็ออกมาพูดแบบขย่มซ้ำว่าเมื่อถึงเวลาทีมของนายอุตตมคงจากไปเอง

คำพูดและท่าทีของฝ่ายสนับสนุน พล.อ.ประวิตร ดูเหมือนจะมั่นใจว่า ทีม 4 กุมารและนายสมคิดจะถูกปรับออก

แต่หากดูจากท่าทีของนายสมคิดและ 4 กุมารแล้ว น่าเชื่อว่าพวกเขาได้รับสัญญาณ “ชัดเจน” จาก พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งมีอำนาจสูงสุดในการปรับ ครม.

เห็นได้จากเวลาถูกนักข่าวถามเรื่องถูกเขี่ยให้พ้นจากกรรมการบริหารพรรค จะถูกยึดตำแหน่งรัฐมนตรี จะทำอย่างไร ทุกคนล้วนตอบคล้ายๆ กันว่า นายกฯ บอกให้ทำงานต่อไป ยังไม่มีการปรับ ครม.

นายสมคิดนั้น ยิ่งพูดชัดเจนว่า เขาไม่สนใจปัญหาการเมืองภายในพรรคพลังประชารัฐ เพราะว่า “ผมทำงานให้นายกฯ” คล้ายจะส่งคำพูดไปกระแทกหน้าฝ่ายตรงข้ามว่าอย่าเพิ่งมั่นใจว่าจะชนะ

 

นอกจากนั้น เมื่อสถานการณ์เข้มข้นขึ้น แก๊งกระหายตำแหน่งในพรรคพลังประชารัฐรุกมากขึ้น ก็มีข่าวว่านายกฯ ส่งไลน์ถึงนายสมคิดโดยตรงว่าจะยังไม่มีการปรับ ครม. ซึ่งนายสมคิดไม่รับไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ พูดเพียงว่าใครปล่อยข่าวก็ไปถามคนนั้น

อันที่จริงการให้ความมั่นใจแก่ทีม 4 กุมาร เกือบจะเป็นทางการ น่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่การประชุม ครม.วันที่ 9 มิถุนายน เมื่อนายกรัฐมนตรีกล่าวก่อนปิดประชุม หลังจากมอบหมายงานให้รัฐมนตรีแต่ละคนว่า “การเมืองเป็นเรื่องการเมือง แต่ละพรรคไปแก้กันเอาเอง ไม่เกี่ยวกับผม แต่อำนาจในการตัดสินใจปรับ ครม.เป็นของผม ขอให้ทุกคนใน ครม.ไม่ต้องกังวล ทำงานในหน้าที่ให้เต็มที่ก็แล้วกัน ต้องช่วยกันแก้ปัญหาชาวบ้านก่อน ผมไม่ปรับ ครม.”

คำพูดนี้ของนายกฯ เกิดขึ้นหลังจากกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ 18 คน ยื่นใบลาออกเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน เพื่อบีบให้มีการเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคคนใหม่ อันถือเป็นการกดดัน 4 กุมารอย่างเปิดเผยให้ยอมลาออกจากหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรค

 

อย่างไรก็ตาม แม้นายกฯ จะพูดว่ายังไม่มีการปรับ ครม. ก็ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตจะไม่มีการปรับ

ถ้าปรับ จะโละทีม 4 กุมารและนายสมคิดออกหมดเลยหรือไม่ เพราะน่าเชื่อว่าทีมนี้ทั้งหมดถ้าจะไปก็ไปด้วยกัน อยู่ก็อยู่ด้วยกัน

ถ้าโละตามแรงกดดันจากก๊วนของ พล.อ.ประวิตร ทางนายกฯ ก็เสี่ยงจะถูกมองด้านลบ ทั้งในแง่ที่ว่าไม่รู้จักบุญคุณคนที่เคยร่วมต่อสู้กันมา และยอมพ่ายแพ้ต่อก๊วนน้ำเน่าทางการเมืองแบบเดิมๆ

หากจะต้องโละ 4 กุมารจริง ต้องมีห้วงจังหวะที่เหมาะสม และต้องให้พวกเขาไปอย่างมีเกียรติ ไม่อย่างนั้น ต่อไปคนมีฝีมือ มีศักดิ์ศรี ก็คงไม่อยากคบหรือทำงานกับ พล.อ.ประยุทธ์ในอนาคต

ดูจากโพสต์ของนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ 1 ใน 4 กุมาร เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ซึ่งใช้คำพูดปริศนา “นกไม่เคยกลัวกิ่งไม้ มันไม่เชื่อใจกิ่งไม้ แต่เชื่อในปีกของตัวเอง” ก็คล้ายจะบอกใบ้ไปยังก๊วนในพรรคพลังประชารัฐหรือใครก็ตามที่คิดจะปลดเขาว่า คนอย่างเขามีความสามารถ

ดังนั้น พรรคพลังประชารัฐ (กิ่งไม้) ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เขาไม่จำเป็นต้องเกาะกิ่งไม้ เพราะบินเองได้

 

ไม่ว่าปัญหาในพรรคจะเป็นอย่างไร จะมีความไม่พอใจ 4 กุมารด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่การที่สมาชิกพรรคนี้ออกมาป่วนอยู่เป็นเวลานานไม่หยุดหย่อน ได้สร้างความเอือมระอาและผิดหวังให้กับสังคม ไม่เป็นแบบอย่างของนักการเมืองที่ดี

ภาพที่ตัดกันระหว่างทีม 4 กุมารกับทีมลุงป้อมในสายตาของประชาชนก็คือ ทีม 4 กุมารทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ ออกมาตรการเยียวยาและกอบกู้เศรษฐกิจ แต่ทีมลุงป้อม (ซึ่งหัวหน้าทีมมีภาพลักษณ์ติดลบจากนาฬิกายืมเพื่อน) ทำงานหนักในการแซะเก้าอี้ 4 กุมารเพื่อเอาไปเป็นของตัวเอง โดยที่ลุงป้อมก็ไม่เคยปรามลูกหาบให้สงบปากสงบคำเลย

สภาพที่เกิดขึ้นทำให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจ ว่าจะมีการเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจกลางคันและทำให้การแก้ปัญหาเศรษฐกิจสะดุดหรือไม่ ยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจหนักเข้าไปอีก

ก้าวต่อจากนี้ น่าจับตาอย่างยิ่งว่า การปรับ ครม.ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จะสามารถประกันความมั่นใจของสังคมได้หรือไม่ว่าจะไม่อยู่ “ใต้เงา” ของ “พี่ป้อม” แบบราบคาบ

หากไม่เป็นตัวของตัวเอง ปรับ ครม.ตามใบสั่ง “พี่ป้อม” ก็คงไม่ต่างจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ปรับ ครม.ตามใบสั่ง “พี่ทักษิณ”

ถ้าเป็นแบบนั้น เลือกตั้งครั้งหน้า พปชร.อาจได้คะแนนในต่างจังหวัดที่ชอบนโยบายประชานิยม แต่ในกรุงเทพฯ อาจสูญพันธุ์