ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 กรกฎาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | วางบิล |
เผยแพร่ |
วางบิล/เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์
โรงเรียน ‘ส.ส.’ เปิดแล้ว
ต้องไปประชุมสม่ำเสมอนะครับ
เปิดภาคเรียนสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายแผ่นดินประจำปี 2564 วาระแรกตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ถึงวันที่ 3 กรกฎาคม 2563 เวลา 23.43 น. 3 วัน 3 คืน แม้จะไม่ตื่นเต้นเร้าใจเท่าที่ควร แค่ไม่ถึงกับจืดชืดเป็นแกงจืด มีประท้วงบ้างพอเป็นพิธีสงฆ์ นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอบสบายๆ ตามตัวเลขข้อมูลที่คณะคอยฟังอภิปรายเก็บคำตอบเป็นตัวเลขส่งให้
มีรายการขอโทษขอโพยกันบ้าง แต่ พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันว่าไม่เจตนา ไม่ตั้งใจ ที่กดไมโครโฟนพูดโต้ตอบชี้แจงโดยไม่รอให้ “ท่านประธาน” ในที่ประชุมอนุญาตก่อน
จบการอภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณสมาชิกในการอภิปรายอันเป็นประโยชน์ รัฐบาลจะบริหารจัดการงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชน พร้อมกับรับข้อติติงและข้อเสนอจากสมาชิกทุกคนเพื่อนำไปปรับให้เกิดความรอบคอบยิ่งขึ้นในการจับจ่ายใช้สอยงบประมาณ รวมทั้งนำจุดบกพร่องไปพิจารณาแก้ไขต่อไป
สุดท้ายขอบคุณคณะรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่รับฟังการตอบข้อชี้แจงจากตน
เมื่อนายกรัฐมนตรีอภิปรายปิดท้ายแล้ว นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรเชิญสมาชิกให้เข้ามาแสดงตนก่อนลงมติเพื่อรับหลักการร่างพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี 2564 ซึ่งในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิกเข้าร่วมเพื่อลงมติ ณ ขณะนั้น จำนวน 476 คน ปรากฏผลดังนี้
ผู้เห็นด้วย 273 เสียง ผู้ไม่เห็นด้วย 200 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง ผู้ไม่ลงคะแนน ไม่มี
จากนั้นประธานสภาผู้แทนราษฎรกำหนดให้อภิปรายในวาระ 2 เป็นรายมาตรา 30 วัน จำนวนผู้ประชุมในวาระ 2 ทั้งหมดจำนวน 72 คน แบ่งเป็น
คณะรัฐมนตรี 18 คน
พรรคเพื่อไทย 15 คน
พรรคพลังประชารัฐ 13 คน
พรรคภูมิใจไทย 7 คน
พรรคก้าวไกล 6 คน ในจำนวนนี้มีผู้เสนอชื่อนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ร่วมด้วยหนึ่งคน
พรรคประชาธิปัตย์ 6 คน
นอกนั้นพรรคละ 1 คน คือ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเศรษฐกิจใหม่ พรรคเพื่อชาติ พรรคท้องถิ่นไท พรรคเสรีรวมไทย และพรรครวมพลังประชาชาติไทย
การพิจารณาในวาระสองเป็นการพิจารณารายมาตราสำหรับผู้แปรญัตติไว้ เมื่อเป็นการอภิปรายรายมาตรา ซึ่งเป็นรายละเอียด คงไม่มีการถ่ายทอด ยกเว้นนำออกมาเสนอเป็นข่าวในมาตราสำคัญ และผู้อภิปรายที่น่าสนใจ เข้าใจว่ากว่าจะพิจารณาวาระสองเสร็จสิ้นน่าจะใช้เวลานานถึง 80 วัน คือ 3 เดือนจึงแล้วเสร็จกลับเข้ามาสู่การลงมติในวาระสอง จากนั้นจึงพิจารณาในวาระ 3 ซึ่งไม่ต้องมีการอภิปรายอีก
การลงมติพิจารณางบประมาณรายจ่ายแผ่นดินประจำปี 2564 เป็นการลงมติในวาระสุดท้ายก่อนนำส่งวุฒิสมาชิกเพื่อลงมติรับหรือไม่รับร่างงบประมาณรายจ่ายแผ่นดินประจำปี 2564
เมื่อผ่านจากวุฒิสมาชิกแล้ว จึงนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้ต่อไป
นับแต่เดือนตุลาคม 2563 รัฐบาลจะเริ่มใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายแผ่นดินประจำปี 2564 ซึ่งมีรายการค่าใช้จ่ายพิเศษคืองบประมาณค่าใช้จ่ายโรคไวรัสโควิด-19 จำนวนไม่น้อย ซึ่งเป็นงบฯ พิเศษที่ต้องใช้งบประมาณกลาง และงบประมาณที่ดึงออกมาจากงบประมาณของกระทรวงทบวงกรมเห็นว่าดึงออกมาหน่วยงานละ 10% แล้วแต่ว่าหน่วยงานใดมีงบประมาณมากน้อยเท่าใด
เมื่อดึงออกมาใช้ จะได้นำงบประมาณประจำปีนี้และปีต่อไปใช้คืน ดังนั้น นับแต่เดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป ทุกหน่วยงานคงมีงบประมาณใช้จ่ายคล่องตัวขึ้น โดยเฉพาะงบฯ เบี้ยประชุมที่หลายหน่วยต้องงดประชุม เห็นเขาว่าอย่างนั้นนะครับ ทั้งควรจัดให้มีการประชุมทั้งระดับกรรมการและระดับอนุกรรมการได้แล้ว
นับแต่นี้ ให้สภาวการณ์โควิด-19 ซาลงมากกว่านี้ และคงไม่มีระลอก 2 เกิดขึ้น หรือหวังว่า หากจะมีเกิดขึ้นบ้างคงไม่ร้ายแรงเท่าแรกเริ่ม ขณะที่ใครต่างคิดว่าจะร้ายแรงกว่าเมื่อครั้งแรก
เพราะการป้องกันและความร่วมมือของคนไทยที่ร่วมกันระงับยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสต้องเกิดขึ้นซ้ำ และเชื่อว่าเชื้อวรัสโควิด-19 น่าจะคลี่คลายสูญพันธุ์จากประเทศไทยและคนไทย ด้วยเหตุที่ทุกคนและทุกหน่วยงานเข้มงวดกับมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขใช้ในครั้งนี้อย่างชัดเจนและจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการรักษาความสะอาดบริเวณที่ทางสาธารณะ ทำความสะอาดบริเวณที่ทางสาธารณะด้วยแอลกอฮอล์ก่อนจะเปิดใช้งาน
ทั้งหน่วยงานที่เข้มงวดกับโครงการ “ไทยชนะ” และวัดอุณหภูมิให้ผู้ที่จะผ่านเข้า-ออกล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ทั้งเข้าทั้งออก ทั้งลูกเล็กเด็กแดงต่างรักษาความสะอาดให้ตัวเองอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
รวมถึงหน่วยงานทั้งราชการ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน ซึ่งจัดการให้ผู้สูงอายุและผู้ที่สามารถ Work from Home เมื่อได้ปฏิบัติงานที่บ้านในเวลาพอสมควร และสามารถกลับเข้าทำงานในสำนักงานบ้างแล้ว นับเป็นการดีเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ให้เกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมงานที่ห่างเหินมา ได้กลับเข้าที่เข้าทาง
เพราะการทำงานที่บ้าน มีทั้งผลดี คือได้ทั้งงานส่งให้สำนักงาน มีทั้งผลเสีย คือทำให้ร่างกายเกิดอาการ “ลงพุง” โดยเฉพาะผู้ชาย เหตุเพราะหลายคนรับประทานอาหารและขนมนมเนยมากกว่าปกติ
เมื่อโควิด-19 สร่างซาไป เชื่อว่าฝ่ายรัฐบาลน่าจะจัดระเบียบวินัยให้เกิดขึ้นกับคนไทยได้ไม่ยาก เช่น การเข้าแถว ซึ่งไม่จำเป็นต้องเว้นช่องห่างมากเหมือนเก่า แต่ทำให้เกิดระเบียบแถวดียิ่งขึ้น ที่สำคัญ เกิดระบบความคิด “แบ่งปัน” ซึ่งกันและกัน แม้ไม่จำเป็นต้องมีตู้ “แบ่งปัน” เช่นเดิม คือมีจิตใจโอบอ้อมอารีขึ้นในจิตใจ
ที่เห็นได้ชัดเจนคือ การรักษาความสะอาดให้เกิดขึ้นกับทุกคน ด้วยการล้างมือทุกครั้งที่จับต้องสิ่งอันเป็นสาธารณะ เช่น ราวสะพาน ราวบันได การเปิด-ปิดประตู ลิฟต์ การเข้าห้องน้ำปฏิบัติกิจส่วนตัวเสร็จแล้ว
เมื่อมีการปฏิบัติกับตัวเองไม่ว่าในเรื่องความสะอาด ในเรื่องระเบียบวินัย การเข้าแถว ต่อไปประชาชนจะเข้าสู่การปฏิบัติตนตามกฎหมาย โดยเฉพาะกฎจราจร เช่น การใช้รถใช้ถนน การจอดรถไม่เป็นที่เป็นทาง
นับเป็นการสร้างวินัยให้กับประชาชนโดยทั่วกันตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเด็กเมื่อปฏิบัติตนเป็นนิตย์ ย่อมจะดูแลผู้ใหญ่ เช่น พ่อ-แม่ ผู้ปกครองให้ปฏิบัติไปด้วย ดังเช่นการเปิด-ปิดน้ำ เปิด-ปิดไฟฟ้า เป็นต้น