อนุสรณ์ ติปยานนท์ : มนต์เสน่ห์ของความหวาน

ปากะศิลป์ฉบับอ่านใหม่ (37)
ป่าน้ำผึ้ง (2)

เขาทวนชื่อของชายแปลกหน้าที่ผลุนผลันมาแนะนำตัวต่อเขา

“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณเจริญ แต่ผมไม่คุ้นเลยกับของหวานอะไรทำนองนี้ บัวลอยไข่หวานที่เด็กในโรงเรียนชอบกันนักหนาสมัยประถม ผมนี่ไม่แยแสเอาเลย ไอศกรีมที่เขาไปนั่งหรูเฝ่อยู่แถวเฉลิมกรุง ผมก็ให้รังเกียจรังงอนมันอย่างไม่มีเหตุผล ถ้าลองขนาดของหวานดาดๆ ผมยังไม่มีกะใจจะยุ่งขิงกับมัน ผมจะไปถึงชั้นเก็บหาน้ำผึ้งกับคุณได้กระไร”

“เรื่องนั้นเดาได้ไม่ยากนัก” ชายแปลกหน้ายิ้มให้เขา

“เล่นของขมตั้งแต่แดดเปรี้ยงๆ อย่างนี้ คุณก็คงไม่ใช่คนที่สนใจลิ้มรสชาติอื่นหรอก ทว่าถ้าเริ่มตราขาวตั้งแต่บ่ายแบบนี้ มันจะเปลืองอัฐเอาเพราะมันไม่ถึงคอ โส่ย” ชายแปลกหน้าตะโกนเรียกเจ้าของร้านเหล้า “เอาค่างโหนของพวกเราๆ มาให้คุณแกได้ลองดื่มดูทีรึ วันนี้ฉันไม่ไปไหนละ จะนั่งดื่มกับมิตรใหม่ที่นี่จนกว่าจะพับ แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นใครก่อนเท่านั้นเอง”

คำว่ามิตรสะกดให้เขานั่งนิ่งอยู่กับที่ การต้องผูกมิตรกับคนแปลกหน้าสร้างบาดแผลให้กับเขาตั้งแต่ครั้งเรื่องราวของฉวีแล้ว พุทโธ่เอ๋ย เราจะไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าทุกคนไม่ได้หรอกนะ

เขาปลอบตนเอง

 

“เข้าใจว่าคุณคงมาหางานป่าไม้แถวนี้ อันที่จริงมันก็ยังมีไม้ให้ได้ทำ แต่ไม่ยุครุ่งเรืองเสียแล้ว พวกบอมเบย์เบอร์มามันเล่นเสียเหี้ยนไปแล้วในอดีต ตามมาด้วยยุคขยายทางรถไฟนั่นอีก ถ้าจะเข้าป่าละก็ไปช่วยกันรักษามันไว้ให้ลูกหลานเราเสียจะเหมาะกว่า”

“ผมไม่เก่งด้านนั้นน่ะสิ คุณเจริญ” เขาเอ่ยชื่อของคู่สนทนาให้ตัวเองจดจำ

“ไม่มีใครเก่งมาก่อนหรอกคุณ ไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งนั้นแม้กระทั่งความรัก คนเรามันก็เรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตนเองในอดีตแทบทั้งนั้น”

ตอนได้ยินคำว่าความรัก หัวใจของเขาแปลบขึ้นทันควัน นี่เขาแสดงพิรุธอะไรให้มิตรแปลกหน้าได้เห็นเสียแล้วหรือ

“ไม่ต้องแปลกใจหรอกคุณ ผมก็เดาสุ่มไปอย่างนั้นเอง” มิตรแปลกหน้าเอ่ย “แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องความรักแล้ว ไม่มีคนหนุ่มที่ไหนแบกสัมภาระมาของานทำไกลปืนเที่ยงขนาดนี้หรอก แผลทางใจนั่นน่ะ มันหายช้ากว่าแผลทางกายก็จริง แต่ถ้าลืมๆ มันเสียบ้าง มันก็หายได้ในที่สุดเหมือนกัน ยกแก้วของคุณสิ ผมรินเอาพอประมาณ ลองดูสิว่าของที่นี่เขาก็มีดีเหมือนกัน”

เขายกแก้วที่บรรจุน้ำใสปานตาตั๊กแตนขึ้นดื่ม แม้จะชื่อค่างโหนเหมือนเหล้าโรงชื่อดังยามสงครามที่ผ่านมา แต่รสของน้ำใสในแก้วไม่ฉุนฉิวเหมือนค่างโหนตัวนั้น มันหอมและหวานอย่างน่าประหลาดใจ

“นั่นปะไร คุณรู้ล่ะสิว่าของเขาดีจริง อ้าวเติมอีกสักหน่อย ไม่ต้องรีบ คืนนี้นอนที่บ้านพักของผม ถ้าไม่พอเดี๋ยวเราเอาเพิ่มไปอีก ไปต่อกันที่นั่นได้”

ชายแปลกหน้าหันไปตะโกนใส่ร้านอีกรอบ “มีเหลืออีกมากไหมโส่ย จัดมาให้สักสองสามขวดเถอะ เผื่อเอาเข้าป่าไปด้วยจะได้ไม่ขาดแคลน”

“สิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับแพร่คือที่นี่ไม่ได้ดีเฉพาะไม้และป่า ของกลั่นเองของเขาก็ไม่เป็นสองรองใคร น้ำจากแก่งเสือเต้นนั้นเป็นยอดในเรื่องนี้ ผมลองมาหมดละ ทั้งวอดก้า เตอกิล่า รับรองว่าของที่นี่ขึ้นชื่อจนลือได้ทีเดียว”

เขาพยักหน้ารับ มีอะไรอีกมากมายเหลือเกินที่เขาไม่รู้ในโลกนี้ โดยเฉพาะเรื่องหัวใจ

 

“คุณคงไม่เคยสนใจเรื่องของผึ้งและน้ำผึ้งมาก่อนเลยละท่า ผมจะเล่าอะไรให้ฟังสักหน่อย แต่อย่าถือว่าหว่านล้อมเลยนะ เอาเป็นว่าเป็นการแลกเปลี่ยนกันฟังก็แล้วกัน”

“น้ำผึ้งนั่นน่าจะเป็นสิ่งที่ให้ความหวานแก่มนุษยชาติที่เก่าแก่ที่สุด คุณรู้จักความหวานจากไหนกันล่ะ ลองเกริ่นให้ผมฟังดูที”

เขาเอ่ยชื่อรสหวานที่เขาได้ลิ้มลองจากน้ำตาลปึก น้ำตาลทราย น้ำตาลต้นมะพร้าว น้ำตาลจากอ้อย แถมรสหวานจากเกสรดอกเข็มที่เขาแอบชิมเล่นตอนเด็กด้วย

“ไม่เลวสำหรับคุณ ผมคงมองพลาดไปว่าชีวิตคุณมีแต่รสขมไปเสียหมด ผมอาจจะอธิบายยาก แต่ขอแบ่งง่ายๆ ว่ารสหวานมีความเป็นสารเคมีไม่น้อย ถ้าเป็นสารโมเลกุลเดี่ยว เราจะมีชื่อเฉพาะว่า กลูโคส ฟรุกโตส กาแลคโตส ถ้าเป็นสารโมเลกุลคู่ซึ่งเกิดจากสารโมเลกุลเดี่ยวมาจับตัวกัน เราจะมีชื่อเฉพาะอย่างซูโครส แลคโตส และมัลโตส เป็นต้น พวกซูโครสนี่เราจะได้จากอ้อย ส่วนแลคโตสเราจะได้จากนม โดยเฉพาะนมของแม่ที่ใช้เลี้ยงลูก แต่ฟรุกโตสนี่เราจะได้จากผลไม้และจากเกสรดอกไม้ที่คุณเคยชิมนั่นเอง”

เขาพยักหน้ารับ หากนี่จะเป็นการปฐมนิเทศก่อนการรับเข้าทำงาน มันก็เป็นการปฐมนิเทศที่รื่นรมย์มากทีเดียว

“น้ำผึ้งนั้นเป็นการได้จากการสะสมความหวานแบบฟรุกโตสผ่านทางผึ้ง ภาพที่คุณเห็นผึ้งตระเวนไปตามเกสรดอกไม้ต่างๆ คือการเก็บสารความหวานแบบนั้นมาสะสมไว้ที่รังของมัน ผมเล่าง่ายๆ แบบนี้คุณคงพอนึกภาพออก และด้วยกระบวนการแบบนี้เองที่ทำให้รสชาติของน้ำผึ้งในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกันออกไป น้ำผึ้งป่าดงดิบที่มีพันธุ์ไม้แปลกย่อมให้รสชาติเฉพาะตัว น้ำผึ้งที่เกิดจากผึ้งเลี้ยงในสวนย่อมให้รสชาติอีกแบบ งานของผมคือการตระเวนเก็บน้ำผึ้งจากรังผึ้งต่างๆ ตามป่าทั่วประเทศเพื่อแสวงหาและบ่งชี้รสชาติที่แตกต่าง คุณคงพอเข้าใจ”

“ผู้ตระเวนหาความหวานในสถานที่นานา” เขาเอ่ย

“ถูกต้อง ขอบคุณมากที่เข้าใจ ผมเองก็ไม่อยากจะเอ่ยเอื้อนเรื่องแบบนี้เพราะมันทำให้แลดูเหมือนพวกคนไล่ล่าหาของเก่าที่ไม่มีใครสนใจ แต่ชีวิตมันก็แบบนี้แหละคุณ ไปๆ มาๆ เราเองก็พลัดหลงไปในอะไรบางอย่างที่ถอนตัวไม่ขึ้นในที่สุด แม้จะคิดว่าจะไม่จริงจังกับมันในตอนแรกก็ตามที”

 

เขานึกถึงฉวีอีกครั้งแล้ว ก็ไอ้ความสะเพร่าประมาทเลินเล่อของเขาแต่ชั้นแรกดอกมิใช่หรือ ที่ทำให้เขาเจ็บแปลบหัวใจมาเสียจนบัดนี้ ก็เพียงแค่บนสนทนาบนรถไฟกับคนแปลกหน้าฆ่าเวลามิใช่หรือที่ทำเอาเขาต้องเจ็บช้ำกับความรักเสียปางตาย เขาถอนหายใจ ควานหากระป๋องบุหรี่ในสัมภาระไปมาแต่ไม่พบ เขาลืมมันไว้ที่ม้านั่งตรงชานชาลาเด่นชัยเสียแล้ว ลงรถไฟเขามวนบุหรี่ขึ้นสูบอย่างกระหายและก็วางลืมมันไว้ที่นั่นเอง

“หาบุหรี่หรือคุณ พุทโธ่ นี่คุณคิดว่าเราอยู่ในยุคพุทธกาลหรือกระไร ขอให้มีอัฐก็ซื้อหาได้หมดล่ะ โส่ยเอายาเส้นของอำเภอลองมาให้ที เอาใบกล้วยมาด้วยสักพับ ขี้โยด้วย ของพรรค์นี้เข้าป่าไล่แมลงดีนักเชียว”

ชายผู้ที่ถูกเรียกว่าโส่ยเดินออกจากร้านที่เป็นเพิงของเขาอีกครั้ง หลังวางถุงยาเส้นขนาดใหญ่กับใบกล้วยสีตองอ่อนและเศษเปลือกมะขามเทศลงบนพื้นโต๊ะ เขาก็ถือวิสาสะในครานี้ลงนั่งร่วมวง เขาสาธิตวิธีมวนบุหรี่ให้ชม จ่อไม้ขีดไฟกับปลายบุหรี่ขึ้นสูบ กลิ่นของมันหอมชื่นใจ

“ยังไม่จบแค่นี้คุณ ทั้งน้ำขาวและยามันจะพาง่วงพาคอแห้งได้ ต้องหาตัวแก้สักหน่อยจะได้ยืนได้ครบวัน” ชายผู้ชื่อโส่ยเอ่ยก่อนกลับเข้าไปข้างในก่อนกลับมาพร้อมจานกระเบื้องสีขาว บนจานวางก้อนกลมสีเขียวสองสามก้อนไว้

“เมี่ยงน่ะคุณ แต่ไม่ใช่เมี่ยงคำใส่ใบชะพลูแบบที่เขากินกันในเมืองหลวง เมี่ยงที่นี่คือใบชาหมัก เคี้ยวอย่างเดียวนะอย่ากลืน ตาแจ้งดีนัก สูบขี้โยหรือยาผสมเศษมะขามนี่คอมันแห้ง เคี้ยวเมี่ยงตามให้คอมันชุ่มถึงจะเหมาะ ของแบบนี้แถวนี้เขาบอกว่ามันเป็นชู้กัน”

“ชู้” เขารำพึง

“หมายถึงเข้ากันนะคุณ ไม่ใช่ชู้รักอะไรแบบนั้น” มิตรแปลกหน้าที่ชื่อเจริญหรือหลวงบุเรศรฯ เอ่ย

“ลองดูสิคุณ เคี้ยวให้หมดคำแล้วแบกของของคุณตามผมมา รถผมจอดอยู่ทางโน้น เข้าบ้านพักกันก่อนเป็นไร อีกไม่นานก็จะค่ำละ อย่าไว้ใจป่าทีเดียว เวลามืด มันมืดแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวทีเดียว จนชั้นจะตาลีตาลานจุดตะเกียงยังไม่เหลือเวลาให้หาไม้ขีดเอาเลย”