จัตวา กลิ่นสุนทร : เหล้าเก่าในขวดเก่า

ถ้าเขียนเรื่องการเมือง แต่ไม่กล่าวถึงการปรับ “คณะรัฐมนตรี” รัฐบาล “ประยุทธ์ 2” ก็ไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรที่อัพเดตกว่านี้

เพราะดูเหมือนว่าเต็มไปด้วยลีลากันมากมายอย่างยิ่ง ทั้งๆ ที่เอาเข้าจริงๆ แทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก เขย่าไปเขย่ามาสลับกันพอประมาณเหมือนการแย่งชิงเปลี่ยนเสิร์ฟ หรือสมบัติผลัดกันชมอยู่ในพรรคแกนนำนั่นแหละ

คนที่ยังไม่ได้เป็นย่อมต้องการได้เก้าอี้รัฐมนตรีกับเขาบ้าง คนที่เป็นอยู่แล้วย่อมไม่อยากหลุดออก พวกที่อยู่กระทรวงเล็ก ต้องการก้าวทะยานไปสู่กระทรวง (ผลประโยชน์) ใหญ่

เป็นสูตรแสนจะปกติธรรมดาของการเมืองระบอบน้ำเน่าเน้นแต่ผลประโยชน์ที่ได้เห็นมาทั้งชีวิต รุ่นไหนรุ่นนั้นสืบทอดกันมาอย่างเหนียวแน่น ยังกับเป็นประเพณีนิยม

ไม่มีใครที่ไหนจะบอกว่าอยากได้ผลประโยชน์ ทุกคนต้องบอกว่าจะได้ช่วยประชาชนได้เต็มไม้เต็มมือถ้ามีเก้าอี้รัฐมนตรีรองก้น แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าคนที่มีอำนาจดำเนินการบันดาลดลเรื่องนี้เขาจะว่าอย่างไร จะใช้สูตรไหนอะไรทำให้มันลงตัว ยังยึกยักยื้ออยู่ทุกวันว่าเป็นอำนาจของเขาแต่พียงผู้เดียว ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่ามันไม่จริงทั้งหมด ถึงยังไงย่อมต้องพึ่งพิงเสียงสนับสนุนจากฝ่ายต่างๆ

 

แต่สำหรับประชาชนคนเดินดินหากินไม่ค่อยจะได้ทุกวันนี้ต่างลงความเห็นไม่แตกต่างกันว่า ถ้ามันจะต้องปรับเพราะไปไม่ไหวแล้ว มันรวนไปหมดแล้ว ผลประโยชน์มันไม่ลงตัวแล้ว ก็รีบลงมือให้เร็วไวไปเลย

โดยต้องพยายามควานหาคนนอกการเมืองเข้ามาบ้างได้ไหมล่ะ หาคนที่มีสมองและฝีมือดีพอจะมาคิดวางนโยบาย หาแนวทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจหลังเรื่องของโรคระบาดไวรัสโคโรนา 19 (Covid-19) ผ่านไป ซึ่งเศรษฐกิจมันคงหนักหนาสาหัสเหลือกำลัง

ไม่ใช่เอาแต่พวกที่ไม่มีกึ๋นสักเท่าไร คิดได้เพียงแค่กู้เงินเพื่อมาแจกจ่ายประชาชน ซึ่งมันแจกได้ไม่กี่มากน้อย ซึ่งถึงเวลานี้คนยากไร้น่าจะใช้จ่ายจนหมดเกลี้ยงกันแล้ว ยังไม่รู้ว่าหางานทำกันใหม่ได้หรือยัง?

หรือวนไปวนมาเขย่าๆ เอาที่เห็นๆ กันอยู่ในพรรคแกนนำ ซึ่งจะว่าไปมันก็หน้าช้ำๆ ซ้ำๆ เดิมๆ จะเข้ามาแก้ปัญหา “เศรษฐกิจ” ซึ่งก็รู้กันอยู่แล้วว่าหนักมาก มันจะเป็นไปได้ยังไง

บอกว่าจะคิดใหม่ หาทางทำงานกันใหม่โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม ก็นี่แหละฟังเสียงประชาชนคนธรรมดาที่ไม่มีส่วนได้เสียเรื่องการเมืองซะบ้าง ไม่ใช่เอาแต่อำนาจเบ็ดเสร็จซึ่งทำมาโดยตลอดเหมือนข้าแน่อยู่คนเดียว กร่างไม่ฟังเสียงใคร ขณะนี้อาจจะยังไม่เห็นอะไรชัดเจนนัก

คอยเฝ้าดูสักนิดน่าจะรู้ว่าปัญหาเรื่องโรคระบาดครั้งนี้ รัฐบาลสามารถจัดการควบคุมได้ดี ซึ่งหนีไม่พ้นความร่วมมืออันดีเยี่ยมของประชาชนประเทศนี้จนเป็นที่เข้าตาประชาคมโลกก็จริงอยู่

 

แต่ต่อจากนี้เรื่อง “เศรษฐกิจ” กำลังจ่อคอหอยอยู่อย่างน่าวิตกจนผู้รู้เรื่องของความหมุนเวียนเปลี่ยนไปเกี่ยวกับเรื่องการเงินต่างๆ ทำนายทายทักว่าให้จับตา 150-180 วันอันตราย ก็อยู่ตรงไตรมาส 3-4 นี่แหละ อะไรต่อมิอะไรมันจะเดินหน้าเรียงแถวกันเข้ามา

เงินที่กู้มาเพื่อใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโรคร้ายผันผ่าน ทำท่าว่าจะไม่เป็นชิ้นเป็นอันกับโครงการที่เสนอกันเข้ามาที่จับต้องไม่ค่อยจะได้ คนทั่วไปได้แต่ระแวงกันว่ามันจะรั่วไหลเข้าไปยังกระเป๋าของใคร? ฝ่ายไหนเสียมากกว่าจะแก้ปัญหาให้กับประชาชนประเทศชาติโดยรวม ถ้าไม่มีโครงการที่ชัดเจนจนสามารถตอบโจทย์พร้อมกับการตรวจสอบที่เข้มข้นถึงลูกถึงคน

การเมืองประเทศนี้เหมือนมีเวรกรรม ซึ่งจะว่าไปคงหนีไม่พ้นต้องโยนไปที่รัฐธรรมนูญ 2560 มันเป็นไปได้ยังไงกันคิดสูตรอะไรก็ไม่รู้ อยู่ๆ พรรคเล็กๆ จิ๋วๆ ซึ่งประชาชนทั้งประเทศลงคะแนนให้หมื่นกว่าถึงสองหมื่นเสียงแต่กลับได้เป็น ส.ส.พรรคละ 1 คน

เรื่องปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นมาจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นผู้จัดให้อย่างนี้ มันก็เป็นที่รู้กันทั้งประเทศจนทะลักไปนอกประเทศว่าเพราะรัฐบาลต้องการเสียงมาสนับสนุน ไม่อย่างนั้นจัดตั้งไม่ได้ เอาเป็นว่ารัฐบาลโดยพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ไม่ได้ชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมาก็แล้วกัน

เป็นยังไงล่ะครับตอนนี้ ส.ส.ที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เป็นผู้แทนฯ อันทรงเกียรติเหิมเกริมหาญกล้าเพิ่มราคาค่าตัวขึ้นมาอย่างสูงส่ง เดินงานต่อรองขอตำแหน่งรัฐมนตรีเข้าแล้ว จะเอาตำแหน่งเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจด้วยซ้ำไป สนุกจริงๆ พับผ่า

ไม่รู้เข้าใจอะไรผิดเพี้ยนไปเกิดมีความคิดอันบรรเจิดกระฉูดสุดๆ เรื่องการเปิด “สถานกาสิโน” ในประเทศนี้ ซึ่งดูเหมือนใครต่อใคร คนใหญ่คนโตเขาคิดกันมาตั้งแต่ท่าน ส.ส.คนนี้ยังไม่ได้ลืมตาดูโลกอีกละมั้ง

 

การเมืองประเทศของเรามันดำเนินมาอย่างนี้โดยตลอดอยู่แล้ว พรรคการเมืองไหนๆ ก่อตั้งขึ้นมาก็ต้องการได้เป็นรัฐบาล เพราะจะเป็นผู้กำหนดนโยบาย ได้ควบคุมเงินงบประมาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าได้เป็นรัฐบาลเพียงพรรคเดียวจะได้บริหารจัดการได้ง่าย ซึ่งมันเป็นไปได้ยากในการออกแบบรัฐธรรมนูญ และองค์ประกอบอื่นๆ กับความไม่ไว้วางใจระหว่างกัน

จำเป็นต้องเป็นรัฐบาลผสมตลอดมา เท่าที่จำได้ดูเหมือนจะเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ในการเลือกตั้งปี พ.ศ.2548 ซึ่งพรรคไทยรักไทย (ถูกยุบแล้ว) ที่ชนะเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมากจนสามารถจัดตั้งได้รัฐบาลได้เพียงพรรคเดียว แต่ก็ต้องถูกคณะทหารทำรัฐประหารในปี พ.ศ.2549

ไม่มีพรรคการเมืองพรรคใดต้องการเป็นฝ่ายค้าน เหมือนดังคำพูดของ (อดีต) นายกรัฐมนตรีประเทศนี้ท่านหนึ่ง (ถึงแก่กรรม) เคยกล่าวเอาไว้ว่า “เป็นฝ่ายค้านแล้วอดอยากปากแห้ง”

ตำแหน่งรัฐมนตรี รัฐมนตรีช่วยมันมีจำนวนน้อย ใครๆ ก็ต้องการจะได้เป็นกันทั้งนั้นในรูปแบบของรัฐบาลผสมหลายพรรค จึงต้องแบ่งเป็นโควต้า ขณะเดียวกันก็ต้องมีเสียงสนับสนุน ซึ่งย่อมต้องคิดหาวิธีการเส้นทางเข้าสู่ตำแหน่งพร้อมหาผู้สนับสนุนกันเอาเอง การวิ่งเต้นจึงเกิดขึ้น

ท่านอาจารย์หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช (อดีต) นายกรัฐมนตรี (คนที่ 13) และ “บุคคลสำคัญของโลก” เคยกล่าวตั้งแต่เมื่อกว่า 40 ปีแล้วถึง ส.ส. (บางคน) ว่า “–มันอาถรรพ์ คนดีดีนี่แหละพอเป็นผู้แทนฯ ก็เปลี่ยนไป ชักเห็นว่าตัวเองยิ่งใหญ่ อยู่ในระยะที่จะสร้างฐานะให้ตัวเองได้ ไม่ได้ตำแหน่งก็วิ่งเต้น

–บอกเป็นผู้แทนฯ มาตั้ง 6 เดือนแล้วยังไม่มีอะไรดีขึ้น ยังยากจนอยู่อย่างเก่า ชาวบ้านดูถูก บางคนมานั่งรออยู่หน้าห้อง 3 วัน 7 วัน ถามว่าจะเอาอะไร บอกว่าจะขอเป็นรัฐมนตรีช่วย เพื่อเป็นเกียรติต่อวงศ์ตระกูล ก็บอกไปว่าจะตั้งได้ยังไง? ก็ว่าไม่เป็นไรหรอกครับ ผมขอเป็น 2 เดือนเขาจะไล่ออกผมก็ไม่ว่า เกิดมากะเขาชาติหนึ่ง ขอให้ได้เป็นสักครั้ง อย่างนี้ก็มี”

 

ฯพณฯ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ (อดีต) นายกรัฐมนตรี (คนที่ 16) ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เคยกล่าวขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อกว่า 30 ปีแล้วถึงการปรับคณะรัฐมนตรี เช่นเดียวกันว่า

“–ต้องขอทำความเข้าใจก่อน เคยพูดเรื่องนี้มาหลายครั้งหลายหนแล้ว การปรับปรุงคณะรัฐมนตรีเป็นเรื่องธรรมดาในการปกครองระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้เป็นเรื่องตื่นเต้นหวาดเสียว หรือแปลกประหลาดอะไร หากจำเป็นก็ต้องปรับปรุง ทำให้คณะรัฐมนตรีมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากขึ้น”

ปี พ.ศ.2563 รัฐบาลผสมของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะปรับปรุงคณะรัฐมนตรียังไง คนทั้งประเทศตั้งตารอชมกันอยู่ แต่ดูเหมือนจะคอยความหวังเรื่องทีมงาน “เศรษฐกิจ” คนนอกที่มีประสิทธิภาพมากกว่า ลำพัง ส.ส.ในพรรคพลังประชารัฐ และพรรคร่วมรัฐบาล สอดส่ายสายตาไปจนทั่วแล้ว ไม่สามารถสร้างความตื่นเต้น หรือพลิกฟื้นแก้ปัญหาอะไรได้?

พอเข้าใจ เห็นใจผู้นำรัฐบาล ก็มันเห็นหน้ากันอยู่แค่นี้ จะปรับยังไงให้ได้เลิศเลอเพอร์เฟ็กต์ นี่ขนาดการเมืองได้รับการ “ปฏิรูป” แล้วนะเนี่ย?

มีแต่คนหน้าเดิมๆ ช้ำๆ เห็นหน้าก็พอเข้าใจได้