จรัญ พงษ์จีน : ขยายเวลา พรก.ฉุกเฉิน อีกแล้ว!

จรัญ พงษ์จีน

ซื้อหวยถูก ว่าแล้ว “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นั่งหัวโต๊ะ เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ “ศบค.ชุดใหญ่” แล้วสั่ง “เคาะ” ขยายระยะกรอบเวลาบังคับใช้ “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ออกไปอีก 1 เดือน ก่อนหน้านี้ต่ออายุมาแล้วหนหนึ่ง ถึงวันที่ 30 มิถุนายน

เมื่อถึงเวลาเลื่อนโปรแกรมไปอีกระลอก ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม ศิโรราบ สามารถ “กินรวบ” โดยไม่ต้องออกแรงได้รวม 3 เดือนเต็ม และเชื่อว่า พอถึงเส้นตาย สไตล์ “ลุงตู่” จะหาทางส่งซิกต่อวีซ่าไปเรื่อยๆ น่าจะสิ้นสุดเอาตอน “ชาติหน้า”

ทั้งๆ ที่ว่าข่าวการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มนานถึง 35 วันแล้ว ล็อกคลายเกลียวถึง “เฟส 5” เรียกว่าสถานการณ์เกือบเข้าสู่ “ภาวะปกติ” ผับ-บาร์-คาราโอเกะ-โรงเบียร์ อนุญาตให้เปิดได้ทุกชนิด

ขนาดอาบอบนวด โรงน้ำชา ยังหยวน-หยวน ล้วนได้รับไฟเขียว เพียงแค่คุมเข้ม “คนขี้เมื่อย” เข้าไปใช้บริการ ต้องสวมหน้ากากอนามัย หรืออุปกรณ์ป้องกันใบหน้า แต่ “ห้ามค้าประเวณี”

อาจจะทำให้พวกเสือป่า แมวเซาเสียเซลฟ์อยู่มั่ง กรณีเกิดหน้ามืดตามัวขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วน ก็ย่อมหมดสนุก ได้แต่ “เห่า”

“พล.อ.ประยุทธ์” สรุปเอง ถึงมูลเหตุที่ยืดการใช้งาน “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ออกไปอีกเดือน ว่า แม้จะมีการผ่อนคลายถึงระยะที่ 5 แต่สถานการณ์ยังมีความเสี่ยงอีกค่อนข้างมาก ซึ่งขอให้ย้อนกลับไปดูว่าในช่วงที่ผ่านมามีการติดเชื้อไม่มากนักเกิดจากอะไร มาจากมาตรการควบคุมที่เข้มงวด และมีการใช้มาตรการพิเศษ โดยเฉพาะมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกมา ถึงควบคุมได้อย่างวันนี้ ใช่หรือไม่

“ขอย้ำว่าไม่ได้ปิดกั้นใคร หรือลิดรอนสิทธิอะไรทั้งนั้น คนละกาลเทศะกัน”

ขณะที่ฟากผู้คน “หลายองค์กร” ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านการขยายเวลา พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยเห็นว่าเป็นการเพิ่มอำนาจให้รัฐบาลนำไปบิดตะกูดใช้ประโยชน์ทางการเมือง เป็นข้อห้ามการรวมตัวของประชาชนที่จะมาแสดงความคิดเห็น ที่มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาล

เหนือสิ่งอื่นใด การขยายเวลาออกไปเรื่อยๆ ทั้งที่ไม่มีผู้ติดเชื้อแล้ว แสดงว่ารัฐบาลไม่สนใจเสียงเรียกร้องเรื่องปัญหาปากท้องของประชาชน การใช้กฎหมายพิเศษดังกล่าว ไม่มีนักลงทุนเชื่อมั่น คนตกงานเพิ่มหลายเท่าทวีคูณแล้ว และไม่รู้จะทำมาหากินกันอย่างไร โรงงานทยอยปิดกิจการกันจำนวนมาก

แต่รัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์” เลือกที่จะบริหาร “ด้านความมั่นคง” มากกว่าแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน

 

บอกแล้วว่าเรื่องของ “อำนาจ” เป็นสิ่งเสพติด อานุภาพร้ายกาจ ไม่แพ้ “ยาบ้า” เสพตอนแรก “เมา” พอมากๆ นานๆ เข้า “ติด” โงหัวไม่ขึ้น “ติดยาบ้า” ต้องส่งไปบำบัดที่ถ้ำกระบอก ขณะที่ “เมาอำนาจ” ยังไม่มีโรงพยาบาลเฉพาะทาง ต้องส่งไปกักตัวที่ “ดาวอังคาร” อย่างเดียว

อุปกรณ์ในการเสพอำนาจของ “บิ๊กตู่” หัสเดิมใช้ “มาตรา 44” เป็นเครื่องทุ่นแรง แต่หลังศึกเลือกตั้งใหญ่ ต้องเก็บเข้ากรุโดยอัตโนมัติ แรกเริ่มที่มาแจ้งเกิดบนถนนสายประชาธิปไตย อาการดูเหมือนจะไม่ค่อยลื่นไหล

แต่พลันที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 “บิ๊กตู่” เหมือนได้อาวุธในการเสพอำนาจตัวใหม่ คือ “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” แม้ประสิทธิภาพจะไม่ร้ายกาจเท่ากับ “มาตรา 44” แต่ถือว่ากล้อมแกล้ม

อีหรอบเดียวกับคนติดยา ถึงจะไม่ได้ใช้อุปกรณ์เป็นเข็ม แต่ยังได้ “พันลำ” แก้เสี้ยน ไม่ต้อง “ลงแดง” ตาย

ด้วยประการดังกล่าว จึงเห็นได้ว่าตั้งแต่มีประกาศใช้ “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 มาตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมเป็นต้นมา “พล.อ.ประยุทธ์” ภายใต้ร่มเงาอาวุธคู่กายใหม่ เข้าถูกที่ถูกเวลากับชั้นบรรยากาศทางการเมือง ค่อนข้าง “เวิร์ก” มากกว่า “มาตรา 44”

“กินรวบอำนาจ” แบบ “เนียน-เนียน” ไม่ต้องอาศัยเครื่องทุ่นแรง สบายคอหอยมาแล้วหลายหน ก่อนหน้านี้ โอนย้ายถ่ายเทอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีมาเป็น “อำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี”

โดยอาศัยอำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแห่งมาตรา 7 ยึดการบริหารหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงตามกฎหมาย หรือที่เป็นผู้รักษาการตามกฎหมาย หรือที่มีอยู่ตามกฎหมายมาเป็น “อำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราว”

อีกทั้ง “งบฯ กลาง” หรืองบประมาณรายจ่ายประจำปี อันเป็นรายการเงินสำรองกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็น ของปี 2563 ที่ตั้งวงเงินไว้สูงมากถึง 500,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 15 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี

ผู้มีอำนาจจับจ่ายใช้สอยสตังค์กองมหึมาจำนวนนี้คือ “นายกรัฐมนตรี” ซึ่งหัสเดิม บรรดารัฐมนตรีทุกสังกัดพรรค พากันจินตนาการ เพ้อฝัน ต่างอยากจะรุมทึ้ง “งบฯ กลาง”

ด้วยการเขียนโครงการ ชงตัวเลขของกระทรวงทบวงกรมต้นสังกัด งบประมาณไม่พอใช้ ต้องขอส่วนบุญมาเจียดจาก “งบฯ กลาง” กันตลอดมา

แต่ปี 2563 “บิ๊กตู่” ที่สูเจ้าคิดว่าบริโภคแกลบ เซียนเหยียบเมฆกว่า กอด “งบฯ กลาง” ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น

แล้วยังอาศัยสถานการณ์ช่วงชุลมุน โหนกระแส “โควิด-19” ใช้ “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ให้เป็นคุณ “ยึดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรี” มาเป็น “อำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี” ไว้แต่เพียงผู้เดียวแล้วรักษา “งบฯ กลาง” 500,000 ล้านบาท ยังกะไข่ในหิน เพื่อบริหารจัดการ

บรรดา “เสือหิวเสือโหย” รายใด คนไหนอยากได้ “งบฯ กลาง” ต้องชงเรื่องมาขออนุมัติเป็นเรื่องๆ ไป

หนักไปกว่า “พล.อ.ประยุทธ์” ที่ “แต้มบุญสูง” ยังสบช่อง ได้พบเงินอีกก้อน ว่าด้วยร่าง “พระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. … วงเงิน 88,452 ล้านบาท”

เหตุผลตามมาตรา 5 ให้โอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ของหน่วยรับงบประมาณบางรายการ ไปตั้งไว้เป็นงบฯ กลาง วงเงิน 88,452 ล้านบาท

นั่นหมายความว่า “พล.อ.ประยุทธ์” นอกจากจะรักษา “งบฯ กลาง” ไว้ชงเอง ชิมเอง เพียงผู้เดียว 500,000 ล้านบาท แบบสบายแฮแล้ว

ยังล้วงกระเป๋ายึดงบประมาณจากทุกกระทรวงมาสมทบทุนเข้างบฯ กลางได้เพิ่มอีก 8.8 หมื่นล้าน

“เกรด” ไม่ใช่ตัวชี้วัดความสำเร็จ

“บุคลิก” ก็ไม่ใช่เครื่องวัดความฉลาดเช่นกัน