การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ นอนมองลำแดดส่องช่องหน้าต่าง

แดดส่องมาเวลาเช้า

ยินเสียงนกดุเหว่าแว่วเหนือฝั่ง

เสียงเท้าย่ำลงบันไดไปอีกครั้ง

คงเป็นแม่เตรียมเข้าตั้งหม้อก่อไฟ

 

พ่อตื่นไปก่อนแล้ว

ป่านนี้คงถือแก้วกาแฟใหญ่

หัวเราะอยู่สนานสำราญใจ

ก่อนค่อยหอบผักไม้เข้าบ้านมา

 

พี่โฟนั้นตื่นแต่ย่ำรุ่ง

บอกวันนี้จะมุ่งไปหาป้า

นานสมควรไม่ได้พบหน้าตา

จึงคิดว่าจะไปแอ่วแล้วยืมเงิน

 

เหลือเพียงตัวฉัน

ยังเหยียดขาพาดกันอยู่นานเนิ่น

ใจหนึ่งอยากลุกเร็วไปเที่ยวเดิน

แต่อีกใจให้เผชิญกับห้วงคิดฯ

 

เหตุไฉนคนเราต้องเศร้าโศก

อยู่กับโลกสับสนเหมือนตนผิด

พยายามคว้าไขว่ไปทั่วทิศ

แต่มืดมิดสุดคือในใจดวงเดียว

 

ต่อให้มีกำลังใจในจดหมาย

ยังละม้ายเดินระหว่างทางแสนเปลี่ยว

หรือเพราะว่าที่นี่, ที่ท่องเทียว

เพียงผู้เดียวที่ผิดแผกแหกกฎเกณฑ์

 

หรือเพราะว่าวานนี้ที่ได้พบ

อีกความนัยได้สบสายตาเห็น

แกมขบขันหยันยั่วหัวเราะเน้น

ดั่งฉันเป็นคนประหลาดขาดปัญญา

 

ด้วยเรือนร่างสูงใหญ่ในเชิ้ตสี

อย่างพ่วงพีย่างเยื้องถึงเบื้องหน้า

“พี่ตั้งใจเอาหนังสือติดมือมา

เพื่อหวังว่าจะให้น้องลองอ่านดู”

 

คือกระดาษโรเนียวเบี้ยวนิดหน่อย

มีคราบรอยหมึกเปื้อนเหมือนนิ้วถู

พลิกเปิดอย่างเสียไม่ได้ให้รับรู้

อีกชั่วครู่จึงเอ่ยตอบว่าขอบคุณ

 

“นี่เป็นรวมหนังสือกลอนตอนปีเก่า

ผองชาวเราสร้างสรรค์กันแสนวุ่น

สนุกครับได้มิตรร่วมคิดลุ้น

ต่างเกื้อหนุนสายธารงานกวี

 

สิบห้าบทเขียนเรื่องไม่เปลืองเปล่า

สาระเราหนักเข้มจัดเต็มที่

เกี่ยวกับชาติแผ่นดินถิ่นเกิดนี้

ทุกกวีรักชาติไม่ขาดตอน

 

อีกเก้าบทจรดจารการไหว้สา

น้องต้องอ่านวานตามาดูก่อน

อย่าเพิ่งคิดแตกต่างอย่างใจร้อน

ใช่บทกลอนอ่อนหัดที่คัดมา”

 

หลากคำถามพร่าไหวในหัวฉัน

เมื่อตะวันสาดแสงอยู่แรงกล้า

ผมหยักยุ่งสาบเหงื่อเมื่อลมมา

พิศดูหน้า-หน้าก็ยิ้มอยู่พริ้มเพรา

 

คือสิ่งใดในวันอันควรชื่น

กลับต้องตื่นกับเรื่องแสนเปลืองเปล่า

การอบรมสอนสั่งตั้งแต่เช้า

โดยผู้เข้ามาเหยียบลานบ้านฉันเอง

 

“น้องครับ

ชมรมเรามุ่งรับแต่คนเก่ง

พี่เห็นแววน้องว่าจะครื้นเครง

ร่วมบรรเลงสร้างชื่อกันลือไกล

 

จากบ้านนอกคอกนาประสาพี่

แม้ได้มีน้องด้วยช่วยฝันใฝ่

ส่งประกวดถึงจังหวัดจัดคราวใด

พี่แน่ใจเราจะหนึ่งถึงถ้วยทอง

 

อนาคตยังไม่แน่แค่มุ่งเขียน

ความพากเพียรจะเป็นไฟงามใสส่อง

งานระดับซีไรต์ที่หมายปอง

เราอาจครองมันก็ได้ในสักวัน”

 

เหมือนแสงแดดแผดกล้ามาเรื่อยเรื่อย

ยิ่งฟังกลับยิ่งเหนื่อยในอกฉัน

นึกจะปลีกตัวไปอย่างไรนั้น

ก็ตีบตันสิ้นสุดจะพูดจา

 

คือสิ่งใดในวันอันควรชื่น

กลับต้องยืนฟังแขกคนแปลกหน้า

อ้อ! ก็นับได้อยู่รู้จักมา

เพียงเวลา-มารยาท อาจติดลบ

 

หัวครุ่นคิดทำอย่างไรให้แยกจาก

ยิ่งนานมากยิ่งหน่ายหลายตลบ

หากคบกันไม่ได้ไม่ต้องคบ

อยากจะจบตัดบทสนทนา

 

หากรอยยิ้มในตาใบหน้าเข้ม

ดูและเล็มพิกลเล่ห์บนหน้า

แล้วทันใดเป็นหนานเข้าบ้านมา

หัวร่อร่า “อ้าวหลานชาย ไปไหนกัน!”

 

สองคนยืนหัวร่อกันต่ออีก

ครั้นขอปลีกตัวห่างกลับกางกั้น

“มาถึงนี่ดีใจได้ปะกัน

กินอาหารกลางวันด้วยกัน-ไป!”

 

แล้วชีวิตก็วนไปในรอยเก่า

จากเที่ยงสู่ค่ำเช้าเข้าวันใหม่

เสียงสรวลเสเฮฮากระจายไว

หนานจะได้ลูกเขยมาเชยชม

 

เพียงข้ามวันฉันกลายเป็นหญิงสาว

ผู้มีบ่าวมาสนคนดูสม

บ้างเย้าหยอกบอกว่าหล่อตาคม

มานิยมคนไม่งามตามตามัว?

 

บ้างว่าพ่อคงใช้ยันต์อันมีเดช

อักขระวิเศษช่วยเรียกผัว

บ้างกระเซ้าเข้าหอรอเสียตัว

ไม่ต้องกลัวจะขึ้นคานกันอีกแล้ว

 

นอนมองลำแดดส่องช่องหน้าต่าง

สรรพเสียงต่างต่างดังแว่วแว่ว

แม่คงจัดสำรับกับข้าวแล้ว

ยินเสียงน้องเรียกแจ๋วแจ๋ว “พี่ตื่นยัง!”

 

นอนมองลำแดดส่องร่องฝาไม้

อยากนอนซบหัวไหลไปกับฝั่งฯ