คนของโลก : จอห์น โบลตัน มวยถูกคู่ของโดนัลด์ ทรัมป์

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ไล่ผู้ช่วยใกล้ชิดหลายคนออกจากงานเป็นว่าเล่น

จอห์น โบลตัน อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงของทรัมป์ก็เป็นหนึ่งในนั้น

แต่โบลตันเป็นคนเดียวที่ตอบโต้ทรัมป์ได้อย่างเจ็บแสบอย่างที่ไม่มีใครเหมือน

ผู้ช่วยหลายคนที่ตกเป็นเหยื่อการเขี่ยทิ้งของทรัมป์เลือกที่จะอยู่เงียบๆ ด้วยความเคารพ หรือเลือกวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีสหรัฐให้น้อยที่สุด

ข้าราชการประสบการณ์สูงวัย 71 ปี เลือกที่จะเขียนหนังสือบันทึกความทรงจำที่เต็มไปด้วยข้อกล่าวหาโจมตีทรัมป์ออกวางขาย

โบลตันผู้มาพร้อมหนวดยุ่งเหยิงสีขาว ใช้นิ้วขยับแว่นบ่อยครั้งจนเป็นนิสัย ทำงานเป็นนักวิจารณ์ทางฟอกซ์นิวส์ ก่อนที่ทรัมป์จะเลือกโบลตันเข้ามาเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงคนที่ 3 ของตัวเองเมื่อปี 2018

อย่างไรก็ตาม แนวทางการทำงานของทรัมป์และโบลตัน ดูเหมือนจะเข้ากันไม่ได้สักเท่าไรนักตั้งแต่จุดเริ่มต้น

 


ทรัมป์มีแนวคิดเรื่องอเมริกาต้องมาก่อน และมองว่าการส่งทหารไปประจำการยังต่างประเทศเป็นสิ่งสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ

ขณะที่โบลตัน ข้าราชการหัวเก่าของรัฐบาลสหรัฐ สนับสนุนและไม่ได้รู้สึกผิดแต่อย่างใดกับการส่งกองทัพสหรัฐบุกอิรัก และมีแนวคิดสนับสนุนให้โจมตีทางอากาศใส่อิหร่านและเกาหลีเหนือ

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์และโบลตันมีจุดร่วมบางอย่างก็คือ การตกเป็นเป้ารังเกียจจากกลุ่มชนชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ สำหรับทรัมป์นั้นเป็นมหาเศรษฐีที่มีศัตรูเป็นบรรดาสื่อและนักวิชาการที่ต่างมองทรัมป์ราวกับเป็น “ตัวตลก”

ขณะที่โบลตัน ลูกชายนักผจญเพลิง เคยเล่าถึงช่วงเวลาที่เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเยล มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ ว่าโกรธนักศึกษาที่ร่ำรวยกว่าที่ออกมาต่อต้านการทำสงครามเวียดนามของสหรัฐ

โบลตันระบุไว้ในหนังสือวางขายในปี 2007 ระบุว่า ที่ไม่ร่วมรบในสงครามเวียดนามเพราะจะไม่ยอมสละชีพหากกลุ่มคนที่มีแนวคิดเสรีนิยมในประเทศเวลานั้นยอมแพ้ให้กับศัตรูเสียแล้ว

 

อีกสิ่งที่ทรัมป์มีร่วมกับโบลตัน ก็คือการมีความต้องการต่อสู้กับองค์กรระดับนานาชาติ เช่น หน่วยงานองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) รวมถึงศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือไอซีซี เป็นต้น

หนึ่งวลีที่โบลตันเคยพูดซึ่งเป็นที่จดจำมากที่สุดก็คือการปราศรัยในปี 1994 ที่โบลตันโจมตีองค์การสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นอาคาร 38 ชั้นว่า แม้อาคารดังกล่าวจะหายไป 10 ชั้นก็จะไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย

แม้จะมีคำพูดเสียดแทงอันดุเดือด นั่นก็ไม่ได้ทำให้ประธานาธิบดีในเวลานั้นอย่างจอร์จ ดับเบิลยู. บุช เปลี่ยนใจไม่เลือกให้โบลตันรับตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำองค์การสหประชาชาติในเวลานั้นแต่อย่างใด

โดยบุชเลือกที่จะเลี่ยงการลงมติจากวุฒิสมาชิกหลังจากเกิดกระแสต่อต้านโบลตันขึ้นในหมู่ ส.ว.สหรัฐในเวลานั้น

ซึ่งทรัมป์ก็เอาประเด็นดังกล่าวมาโจมตีโบลตันอีกครั้ง ผ่านการสัมภาษณ์กับฟอกซ์นิวส์ หลังจากเนื้อหาบางส่วนของหนังสือของโบลตันถูกเปิดเผยออกมา โดยทรัมป์ระบุถึงโบลตันว่าเป็นพวกขาลงที่ไม่ได้รับโอกาสอีกแล้ว แต่ตนเป็นผู้หยิบยื่นโอกาสให้กับโบลตันเอง

 

โบลตัน ผู้ที่ทำงานภายใต้ประธานาธิบดีจากฟากฝั่งรีพับลิกันมาโดยตลอดนับตั้งแต่โรนัลด์ เรแกน แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการเล่นเกมการเมืองอีกครั้งเมื่อสัปดาห์ก่อนด้วยการปล่อยเนื้อหาบางส่วนที่เป็นการกล่าวหาทรัมป์ในหลายๆ เรื่อง ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ทำเนียบขาวพยายามที่จะระงับการออกวางจำหน่ายหนังสือเล่มดังกล่าว

ซึ่งในที่สุด หนังสือ “เดอะรูมแวร์อิตแฮพเพนด์ : เอไวต์เฮาส์เม็มมัวร์” ของโบลตัน ก็วางขายได้ในที่สุดเมื่อวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม หนังสือเล่มดังกล่าวก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อถึงสำนวนการเขียน เนื้อหาที่มีข้อโต้แย้ง รวมถึงแรงจูงใจในการเขียนที่ถูกตั้งคำถามเช่นกันว่าทำไมถึงเลือกที่จะมาเปิดเผยเรื่องทั้งหมดผ่านหนังสือในเวลานี้

แทนที่จะร่วมเข้ารับการไต่สวนการถอดถอนประธานาธิบดีในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ลอว์เรนซ์ โอ”ดอนเนล นักวิจารณ์การเมืองสายเสรีนิยม ระบุถึงโบลตันเอาไว้ว่า “โบลตันเองก็เหมือนทรัมป์ เขาเป็นชายที่ไม่น่าเชื่อถือที่สนใจแต่เรื่องเงินมากกว่าหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ”