จะพร้อมหรือไม่พร้อม อนาคตก็กำลังไล่ล่าคุณ! | กาแฟดำ

สุทธิชัย หยุ่น

ผมมีเพื่อนเป็นหมอที่กำลังต้อง “ยกเครื่อง” ระบบบริหารโรงพยาบาลครั้งใหญ่เพราะกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ

วันหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ผมไปหาเขาเพื่อตรวจร่างกายประจำปี ตรวจเสร็จ ระหว่างรอผลตรวจเลือดและเอ็กซ์เรย์ เพื่อนคนนี้บอกผมว่า

“ผมกำลังปวดหัว”

ผมหัวเราะ บอกเขาว่าเขาเป็นหมอ ผมเป็นคนไข้ คนเป็นหมอจะมาบ่นให้คนไข้ฟังว่าไม่สบายได้อย่างไร

เขาหัวเราะ… “เออจริง หมอต้องไม่ปวดหัว แต่ความจริง ทุกวันนี้หมอมีเรื่องปวดหัวมากกว่าคนไข้เสียอีก”

แล้วเขาก็เล่าว่า เมื่อใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของโรงพยาบาลวันนี้ ฝ่ายบริหารก็เริ่มใช้หุ่นยนต์และ “ปัญญาประดิษฐ์” (Artificial Intelligence หรือ AI) มาทำงานมากขึ้น

และหนึ่งในบทบาทของ AI คืออ่านเอ็กซ์เรย์ของคนไข้แทน “หมอรังสีวิทยา”

เพื่อนของผมบอกว่า “เดิมเรามีหมออ่านเอ็กซ์เรย์ 10 คน แต่วันนี้พอเราใช้ AI อ่านแทนก็ได้ผลที่ดี เพราะอ่านได้รวดเร็วกว่า และบ่อยครั้งก็แม่นยำกว่าหมอที่เป็นมนุษย์ ดังนั้น ทุกวันนี้เราจึงใช้หมอด้านนี้เพียง 3 คน…แต่ผมไม่รู้จะทำอย่างไรกับหมอที่เหลืออีก 7 คนในแผนกนี้…”

ผมบอกว่าไม่เห็นยากเลย หมอทุกคนต้องเก่งอยู่แล้ว เพราะถ้าไม่เก่งกว่าคนอื่นโดยเฉลี่ยก็คงสอบเข้าไปเรียนแพทย์ไม่ได้

“ก็ให้หมอรังสีฯ ไปฝึกทำงานด้านอื่นของโรงพยาบาลซิ” ผมออกความเห็น

เพื่อนผมบอกว่า “ปัญหาอยู่ตรงนี้แหละ…หมอส่วนใหญ่เป็นคนเก่ง และเพราะเก่งนี่แหละจึงมีอัตตาสูง ไม่ยอมเรียนรู้ทักษะอย่างอื่น…จึงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับพวกเขา”

ผมได้แต่ถอนหายใจ

เพราะหลายๆ อาชีพที่กำลังเผชิญกับ disruption โดยเทคโนโลยีก็กำลังเจอกับปัญหาเรื่อง “คนไม่ยอมปรับไม่ยอมเปลี่ยน” กันเกือบทุกวงการ

ผมกระซิบบอกเพื่อนคนนี้ว่า “เขารู้ไหมว่าถ้าเขาไม่ยอมเรียนรู้อะไรใหม่ และถ้าหุ่นยนต์ทำงานได้ดีกว่าเขา เขาจะตกงาน…”

คุณหมอบอกว่า “ถ้าเขาฉลาดจริง เขาควรจะรู้นะ”

แล้วเราก็หัวเราะพร้อมๆ กันโดยไม่ได้นัดหมาย

กลับจากโรงพยาบาลวันนั้น ผมได้รับจดหมายที่ส่งต่อจากเพื่อนอีกคนหนึ่งที่เคยเตือนผมว่า “ถ้าเอ็งไม่ยอมปรับตัวตามความเปลี่ยนแปลง เอ็งก็เตรียมไปขายเต้าฮวยได้”

(เขาอาจจะไม่รู้ว่าผมเคยสัมภาษณ์คนขายเต้าฮวยหลายเจ้าแล้วที่บอกผมว่าสามารถทำรายได้ดีขนาดส่งลูกเรียนจบด๊อกเตอร์มาหลายคนแล้ว)

จดหมายที่ว่านี้เพื่อนคนนี้บอกว่าคนที่เขียนน่าจะรวบรวมจากคนหลายอาชีพ

ผมอ่านแล้วสรุปได้ว่าคงจะเป็นการนั่งสุมหัวของคนหลายแวดวงที่วิเคราะห์ “อนาคตของงาน” แล้วก็เห็นภาพชัดเจนว่าถ้าเราไม่สอนเด็กรุ่นใหม่ให้เตรียมตัวตั้งรับความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงในเร็ววันข้างหน้า สังคมไทยอาจจะเจอกับ “สิ่งอันไม่พึงประสงค์” มากมายหลายด้าน

จะกลายเป็นปัญหาสังคมที่รุนแรง

เพราะ “ช่องว่าง” ระหว่างคนรวยกับคนจนเดิมจะยิ่งหนักหน่วงขึ้น

จึงถูกซ้ำเติมด้วย “ช่องว่างระหว่างคนปรับตัวทันกับคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง”

เนื้อหาของบทความที่ว่านี้มีอย่างนี้

เตรียมตัวกันพร้อมหรือยัง? อีก 2-3 ปีข้างหน้าชัดเจนขึ้นแน่นอน

หากตัวคุณในตอนนี้กำลังย่ำอยู่กับที่ เรื่อยเปื่อยไปวันๆ ไม่คิดที่จะพัฒนาตัวเอง

ไม่ทันเหตุการณ์บ้านเมือง แน่นอนว่าอนาคตของคุณจะต้องแย่อย่างแน่นอน

เพราะโลกใบนี้หมุนไปเรื่อย ไม่เคยที่จะหยุดรอใคร คนที่ตามไม่ทันก็มักจะถูกลืมไว้ข้างหลัง

คุณจึงต้องเรียนรู้และเข้าใจในเรื่องของการพัฒนาตัวเองอยู่ทุกวัน

คุณถึงจะอยู่รอดได้

คุณเตรียมตัวกันแล้วหรือยัง?

ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจะชัดเจนมากขึ้นกว่านี้ เมื่อก่อนนั้นยุค 2 G ทำให้โทรเลขเลิกใช้ถาวร

เมื่อไม่นานมานี้ 3 G ก็มา อีเมลเข้ามาทดแทนจดหมาย โทรศัพท์บ้านเครื่องใหญ่ๆ ก็หดหายไป 4 G ก็มา

ต่อมา E-book ก็มาแรง ยิ่งคนดู Content Video เพิ่มมากขึ้น

ธุรกิจที่เป็นหนังสือพิมพ์ก็ร่วงหล่น ทีวีหลายช่องก็ปิดตัวไปมาก

จำไว้ แท็กซี่ที่ไม่ซื่อสัตย์ จะถูกอูเบอร์แย่งงาน

พนักงานที่ไม่ขยัน และไม่พัฒนาตัวเอง จะถูกหุ่นยนต์แย่งงาน

เถ้าแก่ที่ไม่ขยัน จะถูกแย่งตลาดโดยคู่แข่งที่ขยันกว่า

อนาคตกำลังไล่ตามคุณ!!

 

เริ่มด้วยแท็กซี่…

30 ปีก่อนคุณพ่อซื้อรถมา 1 คัน เพื่อขับ Taxi ขับวันละสองกะ จนสามารถซื้อคันที่สอง

ต่อมาให้ลูกช่วยขับ จนต่อมา 10 ปี เรามีบริษัทรถ Taxi เป็นพันคัน เราทำงานหนัก

เราต่อสู้ เราใช้ไฟแนนซ์ จนขยายกิจการได้ใหญ่โต

เมื่อไม่นานนี้ มีคนสร้างอะไรไม่รู้กดปุ่มเดียว รถ Taxi ทั้งโลกตกอยู่ในมือมันทั้งๆ ที่มันไม่มีรถสักคัน มันถูกเรียกว่า Uber

ใครก็สามารถเอารถตัวเองมาขับส่งผู้โดยสารได้เหมือน Taxi

โดยรับลูกค้าจากการแจ้งเตือนผ่านแอพพ์

ครอบครัวเราขยัน เราสู้งาน แต่เรากำลังโดนแย่งลูกค้า

 

อาชีพเจ้าของอพาร์ตเมนต์ Apartment

ครอบครัวเราทำบ้านเช่า เราค่อยๆ เก็บค่าเช่าจนสร้างหอพัก ค่อยๆ ขยายเป็นตึก เรียกว่า Service Apartment

เรามีหลายตึกมาก เราเริ่มฐานะดี

เรามีพนักงานคอลเซ็นเตอร์คอยรับจองห้องพัก

วันดีคืนดี มีคนมาจากอีกซีกโลก สร้างอะไรไม่รู้ กดปุ่มเดียวมันมีห้องเช่ารายวัน รายเดือนนับล้านห้อง โดยที่มันไม่ได้ซื้อ

มันเรียกว่า AirBnB

(ใครก็ตามที่บ้านมีห้องว่างๆ สามารถเข้าร่วมกับ AirBnb เพื่อให้นักท่องเที่ยว นักเดินทาง ค้นหาผ่านแอพพ์มาเช่าอยู่ได้เป็นรายวัน)

ลูกค้าเราลดน้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะเราตามกระแสโลกไม่ทัน

 

เครื่องใช้ไฟฟ้า

ครอบครัวเราเปิดร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในตัวเมือง สมัยก่อนเราขายดีมากๆ

คนจากต่างจังหวัดต้องเดินทางเข้าเมืองมาซื้อที่เรา คุณพ่อส่งผมเรียนมหาวิทยาลัยดีๆ

พอเรียนจบมาก็มาบริหารงานต่อจากที่บ้าน กิจการกำลังไปได้ดี เริ่มขยายสาขาออกไปต่างจังหวัด

วันดีคืนดี โลกเปลี่ยนไป มีระบบการซื้อแบบใหม่ ไม่ต้องไปห้าง ไม่ต้องมาร้าน กดปุ่มเดียวเช็กราคาเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ถูกที่สุดในประเทศ บริการส่งถึงบ้าน มีอำนาจต่อรองโรงงานมากกว่าผม

ผมขยัน ผมไม่ได้โง่ ผมเรียนจบเกียรตินิยม

แต่กิจการที่บ้านผมกำลังลดสาขาและทยอยปลดพนักงานออก

 

โรงงานรถยนต์

ผมจบวิศวยานยนต์

เรียนยากมากๆ

ผมได้ทำงานโรงงานรถยนต์อันดับ 1 ของโลก ผมพัฒนาทักษะมา 15 ปี รถยนต์ที่ผมสร้างมีคุณภาพ

ผมได้รับจดหมายสมัครใจให้ออก โรงงานบอกว่าต่อไปเราจะใช้หุ่นยนต์ และต่อไปรถยนต์จะไม่มีระบบเครื่องยนต์แบบเดิม แบบที่คุณเรียนยานยนต์มามันใช้ไม่ได้ ต่อไปรถยนต์จะไปใช้ไฟฟ้ากันหมด

ผมขยันทำงาน ผมไม่ขาด ไม่ลา ไม่เคยมาสาย เป็นพนักงานยอดเยี่ยมมาตลอดหลายปี แต่ผมกำลังจะตกงาน!

ผมโคตรงง

สัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง เพื่อนบอกว่าพอโควิดมา ทำงานจากบ้าน ใช้วิธีประชุมผ่าน Zoom เลยรู้ว่าทำงานจากไหนก็ได้ ไม่ต้องมีสำนักงาน ไม่ต้องเสียค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟที่ทำงาน

“ตอนนี้เลยรู้เลยว่าเราไม่ต้องมีคนทำงานมากขนาดนี้ก็สามารถทำงานได้”!

จบข่าว! แต่เรื่องของคนไม่ยอมปรับตัวยังไม่จบ!