“ฮอลลีวู้ด” ชิดซ้าย “สตอลโลน” ชิดขวา “บรรยิน”กับ แผนแหกคุก สุดเว่อร์วัง ?

ไม่ต่างจากฉากแอ๊กชั่นในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด

สำหรับแผน “แหกคุก” ช่วย พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรีและผู้ต้องหาคนสำคัญ

ในคดีปลอมแปลงเอกสารโอนหุ้น 300 ล้านบาทของ “เสี่ยชูวงษ์” นายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง นักธุรกิจดัง ที่ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก พ.ต.ท.บรรยิน 8 ปี

และคดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ อดีตเจ้าของสำนวนคดีโอนหุ้นเสี่ยชูวงษ์

ทั้ง 2 คดีเชื่อมโยงกันและมีพยานหลักฐานชี้ชัด พ.ต.ท.บรรยินเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง

จนนำมาสู่แผนปฏิบัติการแหกคุกหวังช่วย พ.ต.ท.บรรยิน ซึ่งถูกจองจำรอการพิพากษาอยู่ภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

แต่คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต ทุกอย่างไม่ง่ายดายตามที่คิด

แผนลับดังกล่าวเกิดรั่วไหลไปเข้าหูเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ ซึ่งต่อมาได้แจ้งเบาะแสประสานงานตำรวจกองบังคับการปราบปราม

ตามแกะรอยผู้ร่วมขบวนปฏิบัติการเตรียมแหกคุกสุดเว่อร์วังครั้งนี้

เบาะแสแรกที่ตำรวจกองปราบฯ พบความผิดปกติ

เมื่อทนายความของ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ ในคดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาได้ช่วยประกันตัวนักโทษคนหนึ่งชื่อนายโจ อายุ 42 ปี ออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.บรรยินกับนายโจไม่เคยข้องเกี่ยวหรือรู้จักกัน

ตำรวจกองปราบฯ จึงพุ่งเป้าไปยังนายโจ และตามล็อกตัวได้ที่ห้องพักย่านลาดพร้าว กทม. เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

ตรวจสอบพบว่า นายโจยังมีคดีลักทรัพย์ค้างเก่าติดตัวอีก 1 หมาย จึงคุมตัวมาเค้นสอบ

เบื้องต้นนายโจให้การอ้างว่า ได้รับประกันตัวออกจากเรือนจำด้วยความช่วยเหลือจากทนายความของ พ.ต.ท.บรรยิน แลกเปลี่ยนกับการทำงานสำคัญให้ 2 เรื่อง

เรื่องแรก ให้หาทางชิงตัว พ.ต.ท.บรรยินจากเรือนจำ

แต่ถ้าเรื่องแรกล้มเหลว ไม่สำเร็จ ให้ดำเนินการต่อเรื่องที่สอง ด้วยการลักพาตัวภรรยาของผู้บัญชาการเรือนจำ

เพื่อใช้ต่อรองกับผู้บัญชาการเรือนจำให้ช่วยพาหลบหนีจากเรือนจำ

นายโจยังได้เบอร์โทรศัพท์ให้ติดต่ออดีต ส.ส.คนหนึ่ง เป็นลูกน้องเก่าของ พ.ต.ท.บรรยิน เพื่อดึงตัวมาร่วมวางแผน แต่อดีต ส.ส.คนดังกล่าวไม่เอาด้วย กระทั่งนายโจโดนตำรวจกองปราบฯ ล็อกตัวเสียก่อน

ภายใต้ปฏิบัติการสุดเว่อร์วัง เจ้าหน้าที่ยังพบมีอดีตนักโทษอีกรายร่วมขบวนการด้วย คือนายท็อป อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาคดีกรรโชกทรัพย์ ชาว จ.นครสวรรค์ บ้านเดียวกับ พ.ต.ท.บรรยิน

ระหว่างถูกคุมขังในเรือนจำ นายท็อปมีความสนิทกับ พ.ต.ท.บรรยิน

เมื่อได้รับการประกันตัวออกมาก็ถูกตำรวจกองปราบฯ ตามจับกุมตัวได้ที่บริเวณหลังมหาวิทยาลัยรามคำแหง หัวหมาก เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน

นายท็อปให้การยอมรับรู้จักกับ พ.ต.ท.บรรยิน ระหว่างถูกคุมขังในเรือนจำจริง ส่วนการประกันตัวนั้น ญาติเป็นคนดำเนินการ

ระหว่างอยู่ในเรือนจำ นายท็อปได้รับคำสั่งเช่นเดียวกับนายโจ คือเมื่อได้ประกันตัวแล้ว

ให้หาทางช่วยเหลือ พ.ต.ท.บรรยินออกจากคุก

แผนแหกคุกครั้งนี้มีรายละเอียดตื่นเต้นเร้าใจไม่ต่างจากภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด

นายท็อปให้การอ้างว่าจะมีคนมาวางระเบิดข้างเรือนจำสร้างสถานการณ์ปั่นป่วน

จากนั้นจะระเบิดล้มเสาธงกลางสนามหญ้าในเรือนจำ เพื่อให้ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ ใช้ปีนหนีข้ามกำแพงออกมา ในจังหวะนั้นจะมีเฮลิคอปเตอร์บินมารับตัวไป

ทั้งหมดเป็นข้อมูลหลุดรั่วจากคำให้การของอดีตนักโทษที่สนิทสนมกับ พ.ต.ท.บรรยิน

เมื่อกรมราชทัณฑ์รู้ดังนั้น จึงย้ายตัว พ.ต.ท.บรรยินจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาคุมขังยังเรือนจำกลางบางขวาง ซึ่งเป็นเรือนจำความมั่นคงสูง

เมื่อแผนแตก พ.ต.ท.บรรยินเกิดอาการเครียดหนัก ถึงขั้นคิดปลิดชีพตัวเองด้วยการแขวนคอตาย แต่ไม่สำเร็จ เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือไว้ได้ทัน

ต่อมากรมราชทัณฑ์ประสานความร่วมมือกับกองปราบฯ เพิ่มกำลังเข้มงวดในการคุมตัว พ.ต.ท.บรรยินมาขึ้นศาล ตามคำสั่งนัดตรวจพยานหลักฐานคดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา

เนื่องจากเกรงว่าระหว่างทางอาจเกิดเหตุชิงตัวนักโทษขึ้นได้

กองปราบฯ จัดส่งชุดปฏิบัติการพิเศษ “หนุมาน” พร้อมอาวุธครบมือ ตามประกบขบวนรถคุมตัว พ.ต.ท.บรรยินมาขึ้นศาลวันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา

ช่วงหนึ่งของการตรวจพยานหลักฐาน พ.ต.ท.บรรยินแถลงต่อหน้าศาลว่า

ตอนอยู่ในเรือนจำไม่มีที่เก็บเอกสาร ไม่ได้อ่านสำนวน ถูกจับขังเดี่ยว ถูกใส่ตรวนตลอดเวลา ได้รับการปฏิบัติเยี่ยงสัตว์ ไม่มีโอกาสดูเอกสารทั้ง 10 แฟ้ม จะให้ทนายทำให้ก็จะเสียเปรียบ

รวมทั้งต้องเตรียมตัวสืบพยานอีกคดี ทำให้ต้องเตรียมต่อสู้คดี จนไม่ได้มาสนใจคดีนี้

แถมยังมีข่าวเรื่องเตรียมจะแหกคุก ยืนยันว่าไม่รู้เรื่อง

“ผมอยู่ในเรือนจำ ถูกพันธนาการตลอดจนเครียดมากถึงขั้นผูกคอตาย”

น.ส.บุษญา ตั้งภากรณ์ หรือเบล บุตรสาวของ พ.ต.ท.บรรยินให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ว่า ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมพ่อในเรือนจำ ไม่ได้พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ส่วนตัวคิดว่าแผนการที่ปรากฏเป็นข่าวไม่น่าจะเป็นไปได้

“พ่อไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่ที่จะก่อเหตุได้ขนาดนั้น”

ตํารวจกองปราบฯ ยังเดินหน้าสาวเบื้องหลังแผนแหกคุกและผู้ร่วมขบวนการต่อไป

พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. เปิดเผยว่า พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกพยานสำคัญ 3 รายมาสอบปากคำ

ประกอบด้วย 1.พ.ต.ท.นุกูล แสงศิริ อดีต ส.ส.นครสวรรค์ คนสนิทของ พ.ต.ท.บรรยิน 2.ทนายความที่ช่วยประกันตัวนายโจ และ 3.นายวรภัทร ตั้งภากรณ์ หรือบอส บุตรชายของ พ.ต.ท.บรรยิน

พร้อมกันนี้เจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานเตรียมแจ้งข้อหาเพิ่มเติมกับ พ.ต.ท.บรรยิน

ฐานเป็นผู้ใช้ จ้างวาน สนับสนุนผู้อื่นให้กระทำผิด กระทำให้ผู้ถูกคุมขังตามอำนาจศาลหลุดพ้นจากการคุมขัง และหน่วงเหนี่ยวกักขัง กรณีเตรียมวางแผนลักพาตัวภรรยาผู้บัญชาการเรือนจำ

แผนแหกคุกที่ดูเหลือเชื่อ สังคมมีความเห็นแบ่งเป็น 2 ความเห็น

ฝ่ายที่เห็นว่าอาจเกิดขึ้นจริง กับฝ่ายที่เห็นว่าไม่น่าเป็นไปได้ คนวางแผนอาจดูหนังมากเกินไป

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีอยู่ในฝ่ายหลัง

“ผมนึกว่าเป็นหนัง ดูหนังมากไปหรือเปล่า คงทำไม่ได้หรอกมั้งแผนแหกคุก มีแต่ในเน็ตฟลิกซ์ ถ้าทำได้ก็แสดงว่าบกพร่องแล้ว คิดว่าไม่น่าทำได้”

แต่ถ้ามีการวางแผนจริงก็ต้องสอบสวนติดตาม พร้อมย้ำกรมราชทัณฑ์ดูแลสอดส่องพฤติกรรมผู้ต้องขังให้ดีที่สุด

กระนั้นก็ตาม พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.กลับเชื่อมั่นว่าแผนการหลบหนีจากเรือนจำของ พ.ต.ท.บรรยินน่าจะเป็นเรื่องจริง

เพราะจากประวัติ พ.ต.ท.บรรยินก่อเหตุอุกฉกรรจ์หลายคดี มีพฤติกรรมข่มขู่ คุกคาม ใช้ความรุนแรงมาตลอด

ล่าสุดคดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา เป็นคดีอุกฉกรรจ์ร้ายแรง ยิ่งทำให้มั่นใจว่าแผนแหกคุกดังกล่าวเป็นหนทางสุดท้ายของ พ.ต.ท.บรรยินที่จะช่วยให้ตัวเองรอดจากการถูกดำเนินคดี แต่โชคร้ายแผนถูกเปิดโปงเสียก่อน

จากการสอบสวนล่าสุด นายโจกับนายท็อปยอมรับว่าแผนวางระเบิดเรือนจำ ล้มเสาธง เอา ฮ.มารับตัว พ.ต.ท.บรรยิน เป็นเรื่องกุขึ้นมาเพื่อให้ดูน่ากลัวเท่านั้น แต่การชิงตัวบนทางด่วนกับการจับภรรยา ผบ.เรือนจำเป็นตัวประกัน

เป็นแผนเตรียมนำมาใช้จริง

แม้แผนแหกคุกสุดเว่อร์วังที่ถูกมองว่าภาพยนตร์ “ฮอลลีวู้ด” ยังชิดซ้าย

“ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน” เจ้าพ่อพระเอกหนังแอ๊กชั่น ยังต้องชิดขวา

เปิดทางให้กับแผนชิงตัว พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์

แต่ทุกอย่างกลับต้องอวสานก่อนเวลา

เมื่อเจ้าหน้าที่สืบทราบเบาะแสสำคัญ

นำมาสู่ปฏิบัติการล้มแผนแหกคุกสุดเว่อร์วังครั้งนี้เสียก่อน


พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่