พลโท ดร.พงศกร รอดชมภู : องค์กรโลกบาล

พลโท ดร. พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ

องค์กรโลกบาลเป็นเรื่องที่นักวิชาการพูดถึงกันมานานแล้ว ส่วนมากจะพูดถึงการที่องค์กรระหว่างประเทศต่างๆ มีบทบาทในการกำหนดวิถีความเป็นไปของประเทศต่างๆในโลกและมักจะมองไปที่องค์การสหประชาชาติและองค์กรในกำกับของสหประชาชาติ ธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย กลุ่มนี้ได้รับการอุดหนุนจากประเทศตะวันตก และเอเชียตะวันออกเช่นญี่ปุ่น เป็นต้น ในปัจจุบันมีองค์กรใหม่ๆของฝ่ายทางเลือกที่ไม่ต้องการอยู่ภายใต้อิทธิพลของตะวันตก เช่นจีนก็ก่อตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชียขึ้น และพยายามนำเงินหยวนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกองทุนการเงินระหว่างประเทศจนสำเร็จ รวมถึงความคิดเรื่องพันธบัตรเอเชียหรือการแลกเปลี่ยนเงินโดยไม่ใช้สกุลเงินดอลลาร์ เป็นต้น

ปรากฏการณ์นี้เป็นการต่อสู้กันระหว่างทุนของตะวันออกและตะวันตกและการกำหนดวิถีชีวิตของประเทศต่างๆโดยผ่านระบบการเงิน บางกรณีเช่นจีนใช้การให้กู้เพื่อก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆจำนวนมากในอาฟริกาและทำให้มีอิทธิพลด้านการเมือง การปกครองหรือเป็นการส่งออกพลเมืองของตนเพิ่มขึ้นมากตามไปด้วย เหมือนกับเป็นการล่าอาณานิคมสมัยใหม่ทั้งฝ่ายตะวันตกผ่านระบบธนาคารโลก และฝ่ายจีนที่ให้กู้โดยตรงและต่อไปจะดำเนินการผ่านธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย ผลที่จะตามมาผู้มีข้อมูลเพียงพอคงพอเห็นได้ว่าภัยคุกคามจริงๆคืออะไร

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เราคงเคยได้ยินองค์กรลับที่เรียกกันว่า ฟรีเมสัน จากนั้นก็เป็นอิลูมินาติ ในส่วนของฟรีเมสันนั้นให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการของยุโรป และยังคงเชื่อถือในพระเจ้าอยู่ สมาชิกที่สำคัญๆถูกอ้างถึงอยู่มากมายทั้ง ลีโอนาโด ดาวินชีและวูฟกัง อมาดิอุส โมสาร์ท ต่อมากลุ่มอิลูมินาติให้ความสำคัญกับการใช้เหตุผลและวิทยาศาสตร์มากขึ้นโดยไม่กล่าวถึงเรื่องของพระเจ้าอีกและให้ความสำคัญกับการมีสมาชิกที่เป็นผู้มีความฉลาด และอนาคตไกล มาจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งก็เป็นเพียงข่าวลือหรือเป็นทฤษฎีการสมคบคิดเท่านั้น

ในอดีต การทำสงครามระหว่างรัฐต่างๆต้องใช้เงิน ผู้ที่มีเงินเช่นกรณีของตระกูลรอสไชล์ มีข่าวลือว่าเป็นผู้ให้กู้และได้รับผลตอบแทนจากสงครามนั้น หากเรามองความรุ่งเรืองของรัฐต่างๆ เราพบว่ากลุ่มที่มีเงินมักเป็นชาวยิว เหตุผลเพราะความรู้ในเรื่องดอกเบี้ยที่อยู่ในศาสนาของตน ทำให้เป็นเจ้าของเงินกู้ใหญ่ๆเสมอ ในระยะแรกหลังยุคโรมัน ได้ให้เงินกู้กับรัฐบาลสเปนและโปรตุเกส จนสามารถขยายอำนาจทางเรือได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสเปนถึงกับมีกองเรือที่ไม่มีใครต่อสู้ได้ แต่เพราะมีการขับไล่ชาวยิวจากเหตุด้านศาสนาทำให้หนีไปอยู่กับประเทศฝ่ายโปรเตสแตนท์เช่น ฮอลันดา อังกฤษ จนทำให้ความเข้มแข็งของโปรตุเกสและสเปนตกต่ำลงและฝ่ายโปรเตสแต้นท์มีฮอลันดาและอังกฤษเป็นต้น มีเงินทุนในการขยายอาณานิคมมากขึ้น

ดังนั้นมาถึงปัจจุบันเงินทุนและการขยายอิทธิพลทางการทหารและการค้า ยังคงมีอยู่อย่างไม่หยุดยั้ง แต่ได้เปลี่ยนโฉมหน้าไปหลังเกิดสงครามโลกทั้ง ๒ ครั้ง ประเทศต่างๆพยายามที่จะใช้องค์กรโลกบาล เบื้องต้นคือสันนิบาตชาติและสหประชาชาติเพื่อเป็นเวทีในการแก้ไขความขัดแย้ง โดยหวังว่าโลกจะมีมาตรฐานความศิวิไลซ์ประมาณเดียวกันเพื่อมิให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงเกินไป

องค์กรโลกบาลเหล่านี้ มิใช่แต่เพียงสหประชาชาติและที่เกี่ยวข้อง ในระดับความร่วมมือระหว่างเอกชน และองค์กรพัฒนาเอกชนธรรมดาก็อาจเป็นส่วนหนึ่งของกลไกองค์กรโลกบาลไปโดยไม่รู้ตัวแต่เป็นเพราะวัตถุประสงค์ที่ร่วมกันเสมือนกับว่ามีการขับเคลื่อนที่สอดคล้องกัน

ในยุคสมัยนี้ ทั้งสหประชาชาติ สมาชิก องค์กรสังกัดสหประชาชาติหรือแม้แต่องค์กรฝ่ายทางเลือกของจีนเอง ต่างก็มีการขับเคลื่อนที่เป็นยุทธศาสตร์ เราจะเห็นว่าแม้ประธานาธิบดีทรัมป์จะหาเสียงอะไรไว้ก็ตาม เมื่อถึงเวลาที่จะกระทำการอะไรที่เป็นเรื่องใหญ่ๆ กลับต้องทำไปอย่างสอดคล้องกับระบบโลกอย่างน่าแปลกใจ นี่ก็คืออิทธิพลขององค์กรโลกบาลทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย

เราคงไม่อาจหาหลักฐานพยานอะไรยืนยันเกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิดเช่นนี้ได้ชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นองค์กรต่างๆเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นการทำเพื่อสาธารณประโยชน์อย่างแท้จริง เช่นกลุ่มงานบรรเทาทุกข์หรือช่วยเหลือด้านมนุษยชน อย่างไรก็ตามก็พบว่างานเหล่านี้มักจะมีความโน้มเอียงในการเห็นใจผู้ถูกกระทำจากรัฐเผด็จการต่างๆ เช่นส่งอาหารและเสบียงให้ จนหลายครั้งอาจไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศ ถูกสกัดกั้น รวมถึงถูกโจมตีอย่างลับๆจากผู้มีอาวุธอีกด้วย แต่ในขณะเดียวกัน การเข้ามาเกี่ยวข้องขององค์กรโลกบาลเหล่านี้ มักเป็นต้นเหตุให้รัฐเผด็จการเหล่านั้นล่มสลายไปเองในที่สุด

ทิศทางขององค์กรโลกบาลเหล่านี้ หากพิจารณาดูผลที่เกิดขึ้นแล้ว พบว่ามีเป้าหมายในการสร้างสมดุลในโลกนี้ ไม่ว่าจะเรื่องมาตรฐานสากลในเรื่องต่างๆ มีสิทธิมนุษยชน เป็นต้น ไปจนถึงการสร้างความสมดุลของประชากรเช่นการสร้างสงครามระหว่างกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มที่ค่อนข้างล้าหลัง รวมไปถึงการกำจัดผู้คนหรือกลุ่มที่เป็นอุปสรรคในการสร้างความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของโลก เหมือนที่กลุ่มฟรีเมสันหรืออิลูมิเนติอาจเกี่ยวข้องในอดีตน่าจะมีอิทธิพลเกี่ยวข้อง

องค์กรโลกบาลเหล่านี้อาจจะยังไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศต่างๆโดยตรง แต่เมื่อไหร่ที่มีกิจกรรมที่จะมีผลกระทบต่อสังคมโลก เช่นกรณีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การรุกรานหรือการกระทบ กระทั่งด้านเขตแดนที่อาจลุกลามเป็นเหตุใหญ่ องค์กรเหล่านี้จะเข้ามาเกี่ยวข้องเท่าที่จำเป็น บางครั้งก็ถูกบ่นว่าเป็นเพียงเสือกระดาษ ให้การช่วยเหลือไม่ทั่วถึง หรือไม่ระงับยับยั้งการเข่นฆ่าให้ทันเหตุการณ์ ซึ่งก็เป็นเรื่องหนักใจกับองค์กรอย่างสหประชาชาติที่ต้องประสานประโยชน์กับหลายฝ่ายและต้องเคารพอธิปไตยของแต่ละประเทศ แต่องค์กรโลกบาลอื่นที่ไม่เปิดเผยอาจจะทำงานลับๆอยู่ก็เป็นได้

องค์กรโลกบาลหรือการปกครองโลกโดยองค์กรระดับโลกนี้ คงยังไม่เกิดขึ้นง่ายๆ แต่จะมีความพยายามกันอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่การรวมตัวเป็นสหภาพยุโรป ความร่วมมือในกลุ่มต่างๆ สำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง ติดหนี้บ้าง แต่ในไม่ช้าการปรับตัวจะเกิดขึ้นจนนำไปสู่การอยู่ร่วมกันของกลุ่มคนขนาดใหญ่ได้ อย่างไรก็ตามเปรียบเทียบแล้วคงไม่ต่างจากอาณาจักรโรมันซึ่งก็ต้องล่มสลายลงในที่สุด ไม่ด้วยจากการชิงอำนาจกันเองภายในระบบ ก็ถูกโจมตีจากภายนอกซึ่งน่าจะเป็นเรื่องทางการค้ามากกว่ากรณีอื่น ในเวลานี้อาจเห็นเป็นแค่ไม่กี่อาณาจักรได้แก่ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป รัสเซียและจีนที่มีเทคโนโลยีและเงินทุนพอที่จะร่วมมือกันในเรื่องต่างๆภายในกลุ่มขนาดใหญ่ได้

เงื่อนไขที่พอจะทำให้องค์กรโลกบาลนี้อยู่รอดได้ยาวนาน ก็คือการส่งเสริมประชาธิปไตยให้การแย่งชิงอำนาจกระทำอยู่ในวาระที่จำกัด ไม่สามารถสร้างอิทธิพลจนครอบงำองค์กรได้เพียงคนเดียวหรือกลุ่มเดียวซึ่งจะมีฐานะเหมือนจักรพรรดิที่มักจะทำให้อาณาจักรล่มสลายในไม่ช้า นอกจากการเมืองแล้วเงินทุนก็ควรจะเพียงพอสำหรับการรวมตัวกันเป็นกลุ่มย่อยๆในอนาคต และการกระจายอำนาจให้กับกลุ่มย่อยๆต่างๆในระดับประเทศและภายในประเทศ เพื่อให้ไม่มีการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางจนเป็นเผด็จการได้ ในขณะเดียวกันก็เป็นการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ทำให้ได้ผู้มีความสามารถมาบริหารทั้งการเมืองและเศรษฐกิจอย่างถูกต้องในระดับพื้นที่ต่อไป

องค์กรโลกบาลจะมีจริงหรือไม่ มีเป้าหมายอย่างไรทั้งที่ลับและที่แจ้ง อย่างน้อยสหประชาชาติ และการรวมกลุ่มอาเซียน และข้อตกลงทางการค้าต่างๆก็มีพื้นฐานให้ติดตามกันได้ สิ่งเหล่านี้ลำพังประเทศเดียวไม่อาจแข็งขืนได้ มีการรวมกลุ่มกันจึงจะเข้มแข็ง และสุดท้ายองค์กรโลกบาลเป็นผู้กำหนดทิศทางของอนาคตโลกจึงมีความจำเป็นด้วยเหตุนี้