สถานีคิดเลขที่12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร/(ถึงเวลา)ไม่ใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

สถานีคิดเลขที่12 / สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

————————-

(ถึงเวลา)ไม่ใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

————————-

นับเป็น พระมหากรุณาธิคุณ ต่อคนไทยทุกหมู่เหล่า

สำหรับคำบอกกล่าวอย่างเป็นทางการ จากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

“มาตรา 112 ไม่ได้ใช้เลย เพราะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระเมตตาไม่ให้ใช้ ”

ถือเป็นทิศทาง และยึดเป็นแนวทางอันชัดเจน ต่อทุกฝ่าย ที่ต้องน้อมนำใส่เกล้าใส่กระหม่อม ไปปฏิบัติ

เพื่อมิให้เรื่องอันละเอียดอ่อน นำไปสู่ความแตกแยก ขัดแย้ง กันในสังคมอีก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ที่ผ่านมา

“หลังโควิด-19″จะนำพาประเทศ เข้าสู่โลกใหม่

รัฐบาลจะNew Normal

“ผนึกทุกภาคส่วนร่วมวางอนาคตประเทศไทย”

เปิดโอกาสให้คนที่มีความปรารถนาดี และอยากจะช่วยกันขับเคลื่อนประเทศ แต่ไม่เคยมีโอกาสมาก่อน ได้มีโอกาสและมีส่วนร่วมมากขึ้น

เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีบทบาทในการประเมินผล และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการต่างๆ ของภาครัฐ

เปิดโอกาสให้ทำงานแบบมีบูรณาการมากขึ้นเพื่อสร้างประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งหมดจะเกิดขึ้นได้จริง ต้องมาจาก “ความร่วมมือ”ทั้งสิ้น

และแน่นอน “รัฐบาล” ในฐานะ “ผู้นำหลัก” จะต้องมีบทบาทริเริ่ม และลดความหวาดระแวง ในการใช้อำนาจอย่างเบ็ดเสร็จลง

เพื่อที่จะให้ทุกฝ่าย”วางใจ” และเข้ามาร่วม ผนึกเพื่อวางอนาคตประเทศ

โดยไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง อย่างที่ว่า

เฉพาะหน้า ที่รัฐบาล อาจจะทำให้ ทุกฝ่ายสบายใจ นั่นก็คือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่กำลังจะใกล้ถึงเวลาที่จะตัดสินใจว่า จะยกเลิก หรือต่ออายุ ออกไปอีก

ซึ่ง การตัดสินใจครั้งนี้ สำคัญ

เพราะ อยู่ในภาวะ ที่การ ระบาดของไวรัส โควิด 19 ลดต่ำลงอย่างมาก หรือแทบจะเป็นศูนย์

การตั้งมาตรสูง ถึงระดับที่ว่าประเทศไทยจะต้อง “ปลอดไวรัส” เกินความจำเป็นหรือไม่

เราอาจจะต้องยอมผ่อนตลายความเข้มงวดลงบ้าง ให้มีการระบาดบ้าง แต่สามารถควบคุมได้ หรือไม่

และควรผ่อนคลายขนาดไหน

นี่เป็นสิ่งที่ท้าทาย ให้รัฐบาล ต้องคิด

โดยเฉพาะภาวะปราศจากไวรัส แต่เราก็เหี่ยวเฉาตายเพราะปัญหาเศรษฐกิจ จะคุ้มค่าหรือไม่

การกลับคืนสู่ภาวะปกติ ภายใต้กฎหมายปกติ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณของการกลับคืนสู่Normal จะทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ดีขึ้นกว่าการคงอยู่ของพ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือไม่

คือสิ่งที่ต้องชั่งน้ำหนักให้ดี

ด้วยขณะนี้เสียงในเชิงตั้งข้อสงสัยว่า การคงอยู่ ของพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มิได้มาจากเหตุของโรคภัยไข้เจ็บเท่านั้น หากแต่มีเหตุผลทาง”การเมือง” ของรัฐบาล แฝงอยู่ด้วย

กำลังดังขึ้นเรื่อยๆ

ประกอบกับ มีตัวอย่าง ว่ามีการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่อ้างว่าเอาไว้ควบคุมไวรัส โควิด-19 ไปใช้ ในการเรียกตัว 6 เเกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ที่เคลื่อนไหวทวงคืนความยุติธรรมให้นักเคลื่อนไหวกิจกรรทางการเมือง ซึ่งถูกอุ้มหายตัวในประเทศกัมพูชา มาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดำเนินคดี

ยิ่งแสดงให้เห็นว่า เป้าหมายแห่งพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯมิได้อยู่ที่เพียงการควบคุมโรคเท่านั้น

หากแต่ถูกใช้ไปในทาง”การเมือง”ด้วย

ดังนั้น หากรัฐบาล ตัดสินใจยืด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯออกไปอีก โดยมีคำอธิบาย ที่ไม่ดีเพียงพอ

ย่อมนำไปสู่ความหวาดระแวง ในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะในฝั่งฟากที่มีจุดยืน ตรงข้ามรัฐบาล

หากเป็นเช่นนั้น ความหวัง ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะ”ผนึกทุกฝ่าย” เข้ามาร่วมวางอนาคตประเทศไทย ก็ยากจะเป็นจริง

มาเริ่มต้น ง่ายๆ (ถึงเวลา)ไม่ใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แล้วจะดีไหม?!?

——————