ต่างประเทศ : การระเบิดสำนักงานประสานงาน ท่าทีอันดุดันของเกาหลีเหนือ

ข่าวใหญ่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานอกจากการประท้วงใหญ่ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกที่ 2 ในจีนแล้ว

อีกเรื่องที่ต้องจับตามองก็คือความตึงเครียดระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ที่เขม็งเกลียวขึ้นอีกครั้ง

เมื่อจู่ๆ เกาหลีเหนือก็ระเบิดสำนักงานประสานงานระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ในเมืองแกซอง เมืองในเกาหลีเหนือใกล้กับเขตปลอดทหารที่แบ่งเขตแดนของเกาหลีฝั่งเหนือและใต้ออกจากกัน จนไม่เหลือซาก

สำนักงานประสานงานดังกล่าว สร้างขึ้นด้วยงบประมาณของรัฐบาลเกาหลีใต้มูลค่า 8.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 257 ล้านบาท เปิดทำการครั้งแรกในเดือนกันยายน ปี 2018 ใช้สำหรับเป็นสำนักงานเพื่อให้การสื่อสารและการแลกเปลี่ยนระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ทำได้ดีขึ้น

สำนักงานดังกล่าวนับเป็นสำนักงานประสานงานระหว่างสองชาติแห่งแรกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง แบ่งเกาหลีเหนือที่สนับสนุนโดยสหภาพโซเวียต และเกาหลีใต้ที่ได้รับการสนับสนุนโดยสหรัฐอเมริกาออกจากกัน

ขณะที่ตัวสำนักงานดังกล่าวถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของนโยบายเพื่อความปรองดองของเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ของนายมุน แจ อิน ประธานาธิบดีสายเสรีนิยมของเกาหลีใต้เองด้วย

 

สํานักข่าวกลางเกาหลี หรือเคซีเอ็นเอ สื่อกระบอกเสียงของรัฐบาลเกาหลีเหนือรายงานว่า เกาหลีเหนือทำลายสำนักงานประสานงานในเมืองแกซองด้วย “แรงระเบิดขนาดใหญ่” เพราะชาวเกาหลีเหนือที่โกรธแค้นต้องการที่จะทำให้ “เดนมนุษย์” และคนที่ให้ที่พักกับ “เศษเดน” เหล่านั้นชดใช้ในอาชญากรรมที่พวกมันก่อขึ้น

ข้อความดังกล่าวสื่อถึงชาวเกาหลีเหนือแปรพักตร์ที่จัดกิจกรรมปล่อยบอลลูนบรรจุใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อโจมตีเกาหลีเหนือเข้าสู่เขตแดนเกาหลีใต้ในช่วงที่ผ่านมาที่สร้างความไม่พอใจให้กับรัฐบาลเกาหลีเหนืออย่างยิ่ง

ด้านรัฐบาลเกาหลีใต้เปิดเผยคลิปวิดีโอจากกล้องสังเกตการณ์ทางการทหาร แสดงให้เห็นกลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นจากจุดที่อาคารสำนักงานประสานงาน ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมร่วมในเมืองแกซอง พังถล่มลงมาไม่เหลือซาก

เกาหลีใต้ออกแถลงการณ์ถึงเหตุการณ์ดังกล่าว แสดงความ “เสียใจอย่างจริงจัง” กับการทำลายอาคารสำนักงานดังกล่าวลง

พร้อมกับเตือนด้วยว่าเกาหลีใต้พร้อมที่จะตอบโต้อย่างเด็ดขาดหากเกาหลีเหนือยั่วยุให้สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น

แถลงการณ์ดังกล่าวซึ่งมีขึ้นหลังคณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติเกาหลีใต้จัดประชุมฉุกเฉิน ระบุว่าการทำลายล้างดังกล่าวเป็น “การกระทำที่ทรยศต่อความหวังในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ รวมถึงความหวังที่จะสร้างสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลี”

ด้านกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ ระบุในแถลงการณ์อีกฉบับว่า กองทัพเกาหลี่ใต้สังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวทางการทหารของเกาหลีเหนืออย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมที่จะตอบโต้กับการยั่วยุอย่างแข็งแกร่ง

ขณะที่นายซู โฮ รัฐมนตรีช่วยกระทรวงรวมชาติที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลเกาหลีใต้ที่ประจำอยู่ที่สำนักงานประสานงานดังกล่าว เรียกเหตุการณ์ระเบิดสำนักงานดังกล่าวว่าเป็น

“การกระทำไร้เหตุผลที่ไม่เคยมีมาก่อน” ที่ “ไม่เพียงแต่สร้างความตระหนกตกใจให้กับชาวเกาหลีใต้เท่านั้น แต่กับคนทั้งโลก”

 

การแถลงตอบโต้ของเกาหลีใต้ในครั้งนี้นับเป็นข้อความที่รุนแรงที่สุดหากนับเหตุการณ์ยั่วยุของเกาหลีเหนือหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา

จนรัฐบาลนายมุน แจ อิน ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ได้มีท่าทีแข็งกร้าวเพียงพอกับการทดสอบขีปนาวุธของเกาหลีเหนือหลายๆ ครั้งในช่วงปีที่ผ่านมา

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนายมุน แจ อิน พยายามอย่างยิ่งที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ให้ดีขึ้น

ซึ่งก็ทำสำเร็จในช่วงเวลาหนึ่งจนสามารถเป็นตัวกลางจัดการเจรจาสุดยอดผู้นำเกาหลีเหนือและสหรัฐอเมริกา นำไปสู่การหารือระหว่างคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ และโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2018

ท่าทีของเกาหลีเหนือที่มีต่อเกาหลีใต้ตึงเครียดมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

โดยเมื่อสัปดาห์ก่อน เกาหลีเหนือขู่ว่าจะตัดช่องทางการสื่อสารทั้งระหว่างรัฐบาลและกองทัพลง และขู่ที่จะฉีกข้อตกลงสันติภาพที่เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ทำเอาไว้ระหว่างกันในการหารือระดับผู้นำสูงสุดระหว่างนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ และนายมุน แจ อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ที่มีขึ้นถึง 3 ครั้งเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ เกาหลีเหนือยังเคยขู่ที่จะทำลายสำนักงานประสานงานมาก่อนหน้านี้แล้ว หลังจากเกาหลีเหนือโจมตีเกาหลีใต้ว่าล้มเหลวในการหยุดกิจกรรมการส่งใบปลิวโจมตีเกาหลีเหนือข้ามเขตแดนมายังเกาหลีเหนือ

แม้เกาหลีใต้ระบุว่าจะห้ามไม่ให้มีการส่งใบปลิว แต่เกาหลีเหนือก็ตอบโต้ว่าการตอบสนองของเกาหลีใต้นั้นขาดความจริงใจ

 

นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า ท่าทีอันดุดันดังกล่าวของเกาหลีเหนือ ไม่ใช่เพียงเพื่อตอบโต้กิจกรรมการปล่อยใบปลิวโจมตีเกาหลีเหนือเท่านั้น แต่มองว่าเป็นความพยายามของเกาหลีเหนือที่หันมาใช้การยั่วยุที่เพิ่มมากขึ้นเพื่อกดดันให้โลกยอมทำตามข้อเรียกร้องของเกาหลีเหนือ

ข้อเรียกร้องซึ่งเกาหลีเหนือเคยเรียกร้องไว้ในข้อตกลงปลดอาวุธนิวเคลียร์ที่เคยจะทำกับสหรัฐอเมริกาแต่ต้องล้มเหลวลงไปก่อนหน้านี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจของเกาหลีเหนือกำลังย่ำแย่ลง ผลจากการถูกสหรัฐอเมริกาคว่ำบาตรทางการค้า ทำให้คู่ค้าสำคัญอย่างเกาหลีใต้ไม่สามารถกลับมาเปิดนิคมอุตสาหกรรมร่วมในเกาหลีเหนือได้อีกครั้ง

นอกจากนี้ ยังต้องเจอกับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกซ้ำเติมเศรษฐกิจเข้าไปอีก

เหตุการณ์ครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของคิม โจ ยอง น้องสาวผู้นำคิมอย่างชัดเจน หลังจากเมื่อวันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมาออกมาเตือนว่าจะพังถล่มสำนักงานประสานงานลง และจะให้สิทธิกองทัพเกาหลีเหนือในการตอบโต้เกาหลีใต้อย่างเต็มที่

หลังจากนั้นเกาหลีเหนือขู่จะรื้อถอนนิคมอุตสาหกรรมร่วมในเมืองแกซองลง และล่าสุดกองทัพเกาหลีเหนือขู่ที่จะเคลื่อนกำลังพลกลับเข้าสู่เขตปลอดทหารและเปลี่ยนพื้นที่ดังกล่าวเป็นป้อมปราการ

ท่าทีของเกาหลีเหนือเกรี้ยวกราดมากขึ้นนั้นยังไม่ชัดเจนว่าเป็นการสร้างข้อต่อรองเพื่อเรียกร้องการผ่อนคลายการคว่ำบาตรหรือไม่

แต่นักวิเคราะห์ก็มองว่าท่าทีดังกล่าวนั้นมีขึ้นเพื่อใช้เป็นการโฆษณาชวนเชื่อในประเทศอย่างแน่นอน และจากนี้ไปต้องจับตามองสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลีอย่างใกล้ชิดว่าจะลุกลามรุนแรงมากขึ้นกว่านี้หรือไม่

 


พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย.63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่