รายงานพิเศษ / แกะรอยอดีต-SG เลือดทหาร ‘พี่ตุ๋ย-น้องแดง’ ก่อน ‘พีระพันธุ์’ ซบ ‘บิ๊กตู่’ จับตาทายาทการเมือง 3 ป. ทายาททัพไทย-ทีมบิ๊กกบ หลัง ‘บิ๊กตู่’ ถกลับ ‘บิ๊กแก้ว’

รายงานพิเศษ

 

แกะรอยอดีต-SG เลือดทหาร

‘พี่ตุ๋ย-น้องแดง’

ก่อน ‘พีระพันธุ์’ ซบ ‘บิ๊กตู่’

จับตาทายาทการเมือง 3 ป.

ทายาททัพไทย-ทีมบิ๊กกบ

หลัง ‘บิ๊กตู่’ ถกลับ ‘บิ๊กแก้ว’

 

เมื่อบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ 3 ป. กลายเป็นว่าที่หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่รอแค่การเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ 3 กรกฎาคมนี้ก่อนเท่านั้น

ก็มีข่าวออกมาว่า พล.อ.ประวิตรจะมาเป็นหัวหน้าพรรคขัดตาทัพแค่ชั่วคราว เพื่อเตรียมรอหัวหน้าพรรคคนต่อไป

เสมือนว่า พล.อ.ประวิตรมาเพื่อจัดระเบียบพรรคใหม่ แก้ปัญหาภายในที่แตกแยก เป็นกลุ่ม ก๊วน เพราะความที่ถูกดูดมาจากหลายพรรค

เมื่อเรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะเป็นช่วงครบเทอมรัฐบาล 4 ปีแรก ก่อนมีการเลือกตั้งใหม่ จะมีการเปลี่ยนหัวหน้าพรรค พปชร.ใหม่

ประกอบกับสุขภาพและอายุของ พล.อ.ประวิตรที่อาจจะต้องเตรียมพักผ่อน เพราะตอนนี้ 75 พอถึงตอนนั้นก็ปาเข้าไป 78 แล้ว

 

สูตรแรกของ คสช.ทีม 1 หรือ คสช.ภาคแรก ภายใต้การนำของพี่น้อง 3 ป.บูรพาพยัคฆ์ “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” วางตัวบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา น้องเล็ก ให้เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเองในที่สุด ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งพรรคตัวจริง

อีกทั้งที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยผูกมัดตัวเองว่าจะเป็นหรือไม่เป็นหัวหน้าพรรค แต่ระบุว่า ยังไม่เห็นความจำเป็นที่ผมจะต้องเป็นหัวหน้าพรรคเอง ทว่าก็ไม่เคยปฏิเสธว่าจะไม่เป็น

แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะยังไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค พปชร.ก็ตาม แต่เรื่องแบบนี้สามารถเขียนใบสมัครย้อนหลังก็ได้

กล่าวกันในสาย คสช.ว่า หากในช่วง 1-3 ปีของการเป็นหัวหน้าพรรค แล้ว พล.อ.ประวิตรเอาไม่อยู่ ดูแลลูกพรรคไม่ได้ บริหารจัดการผลประโยชน์ การต่อรองเก้าอี้ในพรรคไม่ลงตัว เกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีก

เวลาที่ พล.อ.ประยุทธ์จำเป็นต้องมาเป็นหัวหน้าพรรคเอง ก็อาจจะมาถึงก่อนกำหนด

การเป็นทั้งนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะที่ผ่านมาก็มีนายกฯ ที่มาจากหัวหน้าพรรคมาหลายคน และยิ่งจะทำให้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ

 

สูตรที่ 2 คือ หากพี่น้อง 3 ป.สามารถหาตัวทายาททางการเมืองที่จะมาดูแลพรรคพลังประชารัฐได้ พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นหัวหน้าพรรคเอง

ต้องไม่ลืมว่า พรรคพลังประชารัฐเคยได้ชื่อว่า พรรค คสช. ที่ตั้งขึ้นเพื่อสืบทอดอำนาจ คสช. รองรับ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ

แต่มาตอนนี้ พรรคพลังประชารัฐไม่ใช่พรรคชั่วคราว หรือพรรคเฉพาะกิจเพื่อการสืบทอดอำนาจเท่านั้น แต่พี่น้อง 3 ป.ต้องการให้เป็นพรรคที่ยั่งยืน ถาวร และเป็นพรรคใหญ่ที่จะแย่งชิงอำนาจทางการเมือง

ยิ่งเมื่อพี่ใหญ่มากบารมี มากคอนเน็กชั่นอย่าง พล.อ.ประวิตร มาเป็นหัวหน้าพรรค ก็ทำให้ถูกมองว่าจะมีพันธมิตรในพรรคต่างๆ มากขึ้น

แม้แต่กับ ส.ส.พรรคเพื่อไทยบางส่วน และสายบ้านจันทร์ส่องหล้า ที่ พล.อ.ประวิตรแนบแน่นมายาวนาน จนเกิดกระแสพลังดูดอีกระลอก

 

สูตรที่ 3 ทายาททางการเมืองของ คสช. หรือ คสช.ทีม 2 รุ่น 2 ที่จะมาดูแลพรรค และกุมบังเหียนการเมืองไทยให้อยู่ในมือ แทนพี่น้อง 3 ป. ที่เมื่อครบเทอมรัฐบาล 4 ปีแรก ก็มีอายุมากกันแล้ว บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา วันนี้อายุ 70 แล้ว พล.อ.ประวิตรวันนี้ 75 แล้ว ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ก็ 66 แล้ว

แต่ พล.อ.ประยุทธ์ดูจะยังคงแข็งแรงมากที่สุด และพร้อมเป็นนายกฯ ให้ครบอีก 2 สมัย 8 ปีได้ก็ตาม

อย่างไรก็ตาม สูตรอำนาจทางการเมือง ไม่มีอะไรแน่นอนตายตัว

ก่อนหน้านี้ มีชื่อคุณตุ๋ย พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อดีตคนประชาธิปัตย์ ที่วันนี้มาเป็นที่ปรึกษานายกฯ และประธาน กมธ.ศึกษาการแก้รัฐธรรมนูญ และได้รับมอบหมายให้แก้ปัญหาการบินไทย ประหนึ่งให้ได้แสดงฝีมือนั้น เป็นแคนดิเดตหัวหน้าพรรค หรือเลขาธิการ พปชร.ในอนาคต

แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธกระแสข่าวนี้ไปแล้วก็ตาม ทั้งการเข้าพรรค พปชร. หรือกลับไปเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ก็ตาม

แต่ก็ทำให้นายพีระพันธุ์ถูกจับตามองมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์แวะเวียนมาหาบ่อยๆ ที่ทำเนียบรัฐบาล

มีกระแสข่าวว่า ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ดึงนายพีระพันธุ์มาช่วยงาน ก็เพราะเซนต์คาเบรียล คอนเน็กชั่น

ไม่ใช่คอนเน็กชั่นเซนต์คาเบรียล กับวัดนวลนรดิศ และไม่ใช่สายสัมพันธ์กับรุ่นใหญ่อย่าง พล.อ.ประวิตร รุ่นพี่ SG 43 เท่านั้น

แต่ทว่าเป็นคอนเน็กชั่นรุ่นเล็ก กับบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.SG 57 ที่นายพีระพันธุ์เป็นรุ่นพี่ 1 ปี แต่โดยวัยที่อายุใกล้กัน จึงทำให้ พล.อ.อภิรัชต์สนิทสนมมาตั้งแต่สมัยเรียน แบบที่เรียกว่า กอดคอกันกลม เหมือนเป็นเพื่อนรุ่นพี่

พล.อ.อภิรัชต์เรียกนายพีระพันธุ์ว่า “พี่ตุ๋ย” ติดปาก และชอบพอในนิสัยใจคอ และชื่นชมว่าเป็นคนดี คนเก่ง แถมต้นทุนทางสังคมดี

ทั้งการจบกฎหมายหลายด้านจากสหรัฐอเมริกา จนเคยเป็น รมว.ยุติธรรม และเป็นแรงบันดาลใจให้ พล.อ.อภิรัชต์ไปเรียนต่อที่อเมริกาด้วย

ที่สำคัญคือ เป็นลูกทหารด้วยกัน นายพีระพันธุ์เป็นลูกชาย พล.ท.ณรงค์ สาลีรัฐวิภาค อดีตเจ้ากรมการพลังงานทหาร และปลัดกระทรวงพาณิชย์ ผู้ก่อตั้งปั๊มสามทหารอันโด่งดัง ที่ถือเป็นทหารในยุค 3 จอมพล “สฤษดิ์-ถนอม-ประภาส”

ด้วยความเป็นลูกทหาร และสนใจเรื่องทหาร จนนายพีระพันธุ์เคยเป็นกรรมาธิการทหารมาหลายสมัย

ส่วน พล.อ.อภิรัชต์ลูกชายบิ๊กจ๊อด พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ เป็นรุ่นหลังที่ห่างกันมาก

แต่อย่างไรก็ตาม การเข้ามาช่วยงานรัฐบาล ช่วยงาน พล.อ.ประยุทธ์นั้น พล.อ.อภิรัชต์ยืนยันว่า ตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เป็นเรื่องของฝ่ายการเมือง

 

กระนั้น ข่าวก็สะพัดไปไกลถึงอนาคตแล้วว่า พี่ตุ๋ยกับน้องแดง วันหนึ่งจะได้มารียูเนี่ยนร่วมวงมิตรภาพทางการเมืองด้วยกัน เหมือนเมื่อสมัยกอดคอกันที่เซนต์คาเบรียล

ทั้งนี้เพราะชื่อของ พล.อ.อภิรัชต์ยังถูกมองว่าเป็นทายาททางการเมืองของ คสช. และอาจจะเป็น คสช.รุ่น 2 ที่จะมาจากระบอบประชาธิปไตย จากระบบพรรคการเมือง ที่จะมาแตะมือกับพี่ๆ 3 ป.ในอีกไม่ช้านี้

แม้ว่าเมื่อเกษียณราชการกันยายนนี้ แล้วจะต้องเว้นวรรคทางการเมือง 2 ปี เพราะเหตุที่เป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยตำแหน่ง แต่ก็ถูกจับตามองว่าจะกลับมาสู่สนามการเมือง

แม้ พล.อ.อภิรัชต์จะเคยบอกไว้หลายครั้งว่า ไม่เคยคิดจะเล่นการเมือง ไม่เคยคิดจะเป็นนายกฯ ก็ตาม

เพราะรู้กันดีว่า หลังเกษียณ 30 กันยายน จะมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองรออยู่ แต่ทว่าก็อาจจะแค่ช่วง 2 ปีที่ต้องเว้นวรรคทางการเมืองเท่านั้น

 

แล้ว พล.อ.อภิรัชต์อาจต้องกลับมาทำหน้าที่ทหารของพระราชา ในอีกบทบาทหน้าที่หนึ่ง ในการปกป้องสถาบัน ท่ามกลางความเคลื่อนไหวที่รุนแรง หนักข้อขึ้น และมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น

จน พล.อ.ประยุทธ์สวมแหวนพญาครุฑของบิดา ออกมาลั่นกลองรบกับขบวนการล้มล้างสถาบัน ที่พยายามล่วงละเมิด ให้ข้อมูลบิดเบือน สร้างความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชน

ก็เป็นสัญญาณสะท้อนว่า ในอนาคตอันใกล้และอันไกล เรื่องขบวนการล้มเจ้าจะเป็นประเด็นร้อนทางการเมือง

แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะเปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระเมตตา ไม่ให้ใช้มาตรา 112 ในการเอาผิดลงโทษขบวนการหมิ่นสถาบันก็ตาม

แต่ก็หาได้หยุดยั้งความเคลื่อนไหวได้ไม่ และมีทีท่าหนักข้อมากขึ้น

โดยที่ทหารเสือราชินีอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะทหารเก่า ที่ผันตัวมาเป็นนักการเมือง ทำหน้าที่แม่ทัพนำปกป้องการล่วงละเมิดสถาบันมาแล้ว

ด้วยเพราะ พล.อ.ประยุทธ์เคยทำหน้าที่ทหารเสือราชินี ร.21 รอ. ถวายอารักขาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อครั้งทรงเป็นพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 จนเป็นที่รับรู้ถึงการเป็นนายทหารผู้จงรักภักดี เป็น Royalist คนสำคัญ

ขณะที่รอยัลลิสต์อย่าง พล.อ.อภิรัชต์ ที่ในอนาคต ตอนนั้นก็กลายเป็นทหารเก่า และเป็นทหารรักษาพระองค์ ก็อาจจำเป็นต้องมารับไม้ต่อ รับภารกิจสำคัญในการค้ำสถาบัน

โดยเฉพาะมีบิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผช.ผบ.ทบ. ที่จะขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ.คนใหม่ ที่เป็นนายทหารคอแดง ที่เป็นสายรอยัลลิสต์ที่มีความเข้มข้น เรียกได้ว่า เข้ากับสถานการณ์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ปลุกประเด็นไว้แล้ว

ดังนั้น การจัดวางตัวผู้นำกองทัพ ในการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้จึงยิ่งสำคัญ

 

ช่วงนี้ ผบ.เหล่าทัพกำลังจัดโผโยกย้ายนายพลกันแล้ว หลังจากที่ได้รับโผโยกย้ายจาก ผบ.หน่วยขึ้นตรงแม่ทัพภาคเรียบร้อยแล้ว เมื่อ 15 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา

เพราะมีกำหนดที่ ผบ.เหล่าทัพจะนัดหารือโผโยกย้ายทหาร 15 กรกฎาคมนี้ กับบิ๊กกบ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เพื่อหารือตำแหน่งแลกเปลี่ยนที่เหล่าทัพจะส่งมา บก.ทัพไทย และที่ บก.ทัพไทยจะส่งกลับเหล่าทัพ

แต่ก็เกิดเรื่องฮือฮาขึ้น เมื่อมีข่าวยืนยันว่า เมื่อ 12 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์เรียกบิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ เสนาธิการทหาร ปิดห้องคุยที่ทำเนียบรัฐบาล

เพราะเป็นวันที่ พล.อ.เฉลิมพลร่วมทีม พล.อ.พรพิพัฒน์ หัวหน้า ศปม. ไปประชุม ศบค.ชุดใหญ่ที่ทำเนียบรัฐบาล

แต่ทว่า พล.อ.ประยุทธ์เรียก พล.อ.เฉลิมพลมาคุยแบบตัวต่อตัว โดยไม่มี พล.อ.พรพิพัฒน์ร่วมวงด้วย

ที่ก็ยิ่งทำให้เกิดข่าวสะพัดว่า เป็นเรื่อง top secret ลับสุดยอด แบบที่เรียกว่า มีแค่พี่ตู่กับน้องแก้วเท่านั้นที่รู้

แน่นอนว่า ย่อมทำให้มีการคาดการณ์กันว่า เป็นการคุยเรื่องโผโยกย้ายทหาร โดยเฉพาะตำแหน่ง ผบ.ทหารสูงสุด

เพราะ พล.อ.เฉลิมพลเป็นเต็งหนึ่ง ผบ.ทหารสูงสุดคนใหม่ แทน พล.อ.พรพิพัฒน์ที่กำลังจะเกษียณกันยายนนี้

แต่มีข่าวมาตลอดว่า พล.อ.ประยุทธ์จะผลักดันบิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รอง ผบ.ทบ. ให้ข้ามห้วยมาเสียบเป็น ผบ.ทหารสูงสุด ตัดหน้า พล.อ.เฉลิมพลก่อน 1 ปี เพราะ พล.อ.เฉลิมพลมีอายุราชการถึงกันยายน 2566 ยังรอได้

ทั้งนี้เพราะ พล.อ.ณัฐพลเป็นรุ่นพี่เตรียมทหาร 20 และอาวุโส ครองอัตราจอมพลในตำแหน่งรอง ผบ.ทบ. มา 2 ปีแล้ว

อีกทั้งเป็นที่รู้กันดีว่า พล.อ.ณัฐพลเป็นน้องรักที่ พล.อ.ประยุทธ์ใช้งานและไว้วางใจอย่างมาก ตั้งแต่ตอนเป็น ผบ.ทบ. และรัฐประหาร 2557 มาเป็นนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล คสช. จนดึงตัวมาช่วยงานที่ ศบค.ในช่วงโควิด และมีบทบาทในฝ่ายความมั่นคงอย่างมาก

แต่ในโยกย้ายครั้งนี้ เกิดปัญหาสุญญากาศ ที่ไม่มีตำแหน่งที่เหมาะสมจะให้ พล.อ.ณัฐพลไปนั่งตำแหน่งใดในปีสุดท้ายก่อนเกษียณกันยายน 2564

เพราะ ผบ.ทบ.ก็มีบิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผช.ผบ.ทบ.จองไว้แล้ว แถมสเป๊กต้องเป็นนายทหารคอแดง ใน ฉก.ทม.รอ.904 ด้วย แต่ พล.อ.ณัฐพลไม่ใช่ทหารคอแดง

ก็เหลือเก้าอี้ ผบ.ทหารสูงสุด ที่เหมาะสม และไม่จำเป็นต้องมีสเป๊ก เป็นนายทหารคอแดง

แต่ทว่า พล.อ.อภิรัชต์ ผบ.ทบ. และ ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ได้วางตัว พล.อ.เฉลิมพลไว้เป็น ผบ.ทหารสูงสุดแล้ว

ดังนั้น แม้จะมีข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ปิดห้องคุยกับ พล.อ.เฉลิมพลแล้วก็ตาม แต่ข่าวใน บก.ทัพไทยก็ยังยืนยันว่า ผบ.ทหารสูงสุดคนใหม่ยังคงเป็นชื่อ พล.อ.เฉลิมพลตามเดิม

 

ยิ่งในสถานการณ์ที่ขบวนการล้มเจ้าเคลื่อนไหวหนักขึ้น จน พล.อ.ประยุทธ์ต้องออกมาคำรามเตือนสติ ไม่ให้ลามปามด้วยแล้ว

เพราะหากจะมีการเปลี่ยนแปลง พล.อ.ประยุทธ์ก็ควรจะต้องคุยกับ พล.อ.พรพิพัฒน์ที่เป็นคนจัดโผ

จึงมีข่าวออกมาว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้เคลียร์ใจกับ พล.อ.เฉลิมพลแล้ว

ส่วน พล.อ.ณัฐพลก็จะถูกดันไปเป็นเลขาธิการ สมช. แม้ว่าเจ้าตัวไม่ต้องการที่จะไปทำงานตรงนั้นก็ตาม

แต่ข่าวบางกระแสก็ระบุว่า นายกฯ ไม่ได้มีการคุยเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายทหาร แต่คุยเรื่องการมอบหมายงานพิเศษให้ พล.อ.เฉลิมพล

ในสมัยที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็น ผบ.ทบ. และจนเป็นนายกฯ ในยุค คสช.นั้น พล.อ.เฉลิมพลเป็นทหารม้าสายบู๊ ผบ.พล.ม.2 รอ. และเป็นชุดปฏิบัติการพิเศษของ คสช. ก่อนที่จะขึ้นมาเป็นเจ้ากรมยุทธการทหารบก และเป็นรอง เสธ.ทบ. ด้วยการสนับสนุนของ พล.อ.อภิรัชต์ จนส่งข้ามมาเป็นเสธ.ทหาร เพื่อจ่อเป็น ผบ.ทหารสูงสุด

และเชื่อกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ก็คงไม่ขัดแย้งกับ พล.อ.อภิรัชต์

 

ดังนั้น การจัดโผเสือป่า แจ้งวัฒนะ ของ พล.อ.พรพิพัฒน์ ก็ยังคงมี พล.อ.เฉลิมพลเป็นตัวตั้งในฐานะ ผบ.ทหารสูงสุดคนใหม่

โดยมีนายทหารที่ได้ชื่อว่า “ทีมบิ๊กกบ” ขยับลงตำแหน่งสำคัญ ปรับเปลี่ยนไปตามแผน จากที่เคยถูกวางตัวเป็น ผบ.ทหารสูงสุด แต่ก็ตัองฝันสลายเมื่อ พล.อ.อภิรัชต์อาศัยพลังพิเศษ ส่ง พล.อ.เฉลิมพลมาเป็น ผบ.ทหารสูงสุด แถมอายุราชการถึงกันยายน 2566 ที่ทำให้บิ๊กเสือป่า ทัพไทย ที่เกษียณ 2565, 2566 หมดหวังที่จะเป็น ผบ.ทหารสูงสุดไปโดยพลัน

บิ๊กแขก พล.อ.นเรนทร์ สิริภูบาล (ตท.21) ผบ.สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ (สปท.) ที่เคยเป็นแคนดิเดต ผบ.ทหารสูงสุด ก็เตรียมขึ้นเป็นเสนาธิการทหาร เป็นเสธ.คู่ใจ พล.อ.เฉลิมพล ที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.21 ด้วยกัน แถมเป็นทหารม้าด้วยกัน แต่ทว่าเป็นม้าเมืองกรุง กับม้าเมืองเหนือ

แม้ว่า พล.อ.นเรนทร์จะไม่มีโอกาสลุ้นเป็น ผบ.ทหารสูงสุด เพราะเกษียณ 2565 ก่อน พล.อ.เฉลิมพลก็ตาม

บิ๊กอ๊อด พล.อ.ศิราวุฒิ วงศ์ขันตี (ตท.22) หัวหน้าคณะนายทหารฝ่ายเสธ.ประจำ ผบช. น้องรักบิ๊กกบ ไปเป็น ผบ.สปท.แทน

ไม่แค่นั้น พล.อ.พรพิพัฒน์ยังส่งน้องรักมือขวาอย่างบิ๊กไก่ พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม (ตท.22) รองเสธ.ทหาร ไปเป็น ผบ.หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ผบ.นทพ.) แทนบิ๊กหรั่ง พล.อ.พีระพงษ์ เมืองบุญชู ที่เกษียณราชการ

แม้ว่าจะมีบิ๊กกวาง พล.ท.สัณทัศน์ นนทิภาคย์หิรัญ รอง ผบ.นทพ. (ตท.21) น้องรักทหารเสือราชินีของ พล.อ.ประยุทธ์ จ่อคิวรอมาหลายปี แต่ก็คาดว่าจะถูกโยกออกไปชิงรองเสธ.ทหาร

เพราะเป็นที่รู้กันว่า ตำแหน่ง ผบ.นทพ. หัวหน้านักรบสีน้ำเงิน คุมกำลังพล คุมงบฯ พัฒนา จะต้องเป็นคนของ ผบ.ทหารสูงสุด เพราะเป็นมือไม้สำคัญในการทำงาน เพราะมีกำลังพลทั่วประเทศ

ที่ก่อนหน้านี้ก็มีชื่อ พล.อ.นเรนทร์ และ พล.อ.ศิราวุฒิ สายตรงบิ๊กกบ ชิงชัยเก้าอี้นี้ด้วยเช่นกัน แต่ที่สุด พล.อ.พรพิพัฒน์ก็เลือก พล.อ.สุพจน์ นักรบเหรียญรามา ทีมงาน ศปม.สู้โควิด ให้เป็น ผบ.นทพ.

นอกจากนั้น ยังมีการขยับบิ๊กเบิร์ด พล.อ.ปริพัฒน์ ผลาสินธุ์ (ตท.20) รองเสธ.ทหาร ที่ร่วมทีม ศปม.คุมสนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ในการคัดกรองโรค และส่งคนที่กลับจากต่างประเทศเข้ากักตัวใน state quarantine จะขยับขึ้นเป็นรอง ผบ.ทหารสูงสุด คู่กับบิ๊กชู พล.อ.ชูชาติ บัวขาว เพื่อน ตท.20 ที่นั่งต่ออีกปีสุดท้ายก่อนเกษียณ

 

ที่น่าจับตามองว่า ในโผนี้ พล.อ.พรพิพัฒน์จะวางตัวนายทหารคนใดให้เข้าไลน์เติบโตเพื่อต่อคิวเป็นผู้นำทัพไทยต่อจาก พล.อ.เฉลิมพลที่เกษียณ 2566

ทั้งมีบิ๊กจ่อย พล.ท.ธิติชัย เทียนทอง (ตท.24) เจ้ากรมยุทธการทหาร ที่เกษียณกันยายน 2568 ที่จะขยับขึ้นรองเสธ.ทหาร เลยหรือไม่ เพื่อเปิดทางให้บิ๊กจุ๊ฟ พล.ต.ชิดชนก นุชฉายา (ตท.26) รองเจ้ากรมยุทธการทหาร ขึ้นเป็นเจ้ากรมแทนหรือไม่ เพราะเก้าอี้รองเสธ.ทหาร มีแคนดิเดตหลายคน รวมทั้งเวสต์ปอยเตอร์ พล.ท.นที วงศ์อิศเรศ เจ้ากรมข่าวทหาร (ตท.24 เกษียณ 2567) ที่จะชิงรองเสธ.ทหารอีกคน

แต่ด้วยความที่ยังเป็นเตรียมทหาร 24 ในการขึ้นเป็นรองเสธ.ทหาร อาจเร็วไป จึงมีข่าวว่า อาจจะมีรุ่นพี่ในทัพไทย เช่น พล.ท.สัณทัศน์ขยับมานั่งก่อน

แต่เรียกได้ว่า โผนี้ พล.อ.พรพิพัฒน์ยังคงมีอำนาจเต็มในการจัดวางตัวขุนทหาร ที่ทำให้นายทหารที่ได้ชื่อว่า “ทีมกบ” ได้นั่งตำแหน่งสำคัญ

            ก่อนที่จะส่งไม้ต่อให้ พล.อ.เฉลิมพลนำกองทัพไทยเข้าสู่ยุคทหารม้า รวดเร็ว รุนแรง เด็ดขาด พร้อมรับทุกสถานการณ์นั่นเอง


พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย.63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่