“หุ้น-ทอง”เริงร่า…มูลค่าพุ่งปรี๊ด โบรกฯ ให้ระวัง 5 เดือนอันตราย จับตาธนาคารกลาง หนุนเงินร้อนป่วนโลก

7 เดือนแรกของปี 2559 ถือเป็นช่วงทองสำหรับการลงทุน ไม่ว่าจะทองคำ หรือตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนดีใจหาย ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นไปแล้ว 18.33% หรือ 236.05 จุด มาอยู่ที่ 1,524.07 จุด จากสิ้นปี 2558 ดัชนีปิดที่ 1,288.02 จุด เพราะได้รับแรงหนุนจากหุ้นขนาดใหญ่ที่กลับมาซื้อขายอย่างคึกคัก คนละภาพกับปี 2558 ที่หุ้นขนาดกลางและเล็กได้รับความนิยมและตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนเป็นลบถึง 14%

ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5% ขายออกที่ประกาศโดยสมาคมค้าทองคำขึ้นไปทำจุดสูงสุดของปีที่บาทละ 22,800 บาท ในวันที่ 6 วันที่ 7 และวันที่ 11 กรกฎาคม ราคาปรับขึ้นจากสิ้นปี 2558 ถึงบาทละ 4,500 บาท หรือ 24.6% ส่วนราคาสิ้นเดือนกรกฎาคม ราคาทองคำลดลงจากจุดสูงสุดเล็กน้อยมาอยู่ที่บาทละ 22,000 บาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีบาทละ 3,900 บาท หรือ 21.3%

ทั้งหุ้นและทองคำได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากการที่สหราชอาณาจักรต้องการออกจากสหภาพยุโรป (อียู) หรือเรียกว่าเหตุการณ์เบร็กซิท ทำให้นักลงทุนกังวลต่อตลาดการเงินจึงโยกเงินออกจากยุโรปและเงินปอนด์มาหาสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ

หลายฝ่ายยังคาดว่าเหตุการณ์นี้จะสะเทือนถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทำให้ต้องชะลอการขึ้นดอกเบี้ยออกไปจนถึงช่วงสิ้นปี ข่าวนี้ถือเป็นผลบวกกับทองคำโดยตรง

สำหรับหุ้นไทยที่ปรับขึ้นมาแรงนั้น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มองว่าปัจจัยที่สนับสนุนหุ้นไทย คือ กระแสเงินทุนต่างประเทศที่ไหลเข้ามาซื้อสุทธิในช่วงกลางปีแรกถึง 63,785 ล้านบาท และเข้าซื้อเพิ่มอีกในเดือนกรกฎาคม ทำให้ 7 เดือน นักลงทุนต่างประเทศมีสถานะซื้อสุทธิหุ้นไทยแล้ว 80,880.14 ล้านบาท ถือเป็นการกลับมาซื้ออีกครั้งของนักลงทุนต่างประเทศจากที่เคยมีสถานะขายสุทธิ 368,028 ล้านบาทในช่วงปี 2556-2558

แล้วภาพการลงทุนทั้งทองคำและหุ้นหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร…

นายธนรัชต์ พสวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จํากัด มองว่า ช่วงครึ่งปีหลังราคาทองคำจะเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1,350-1,390 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ คิดเป็นทองคำในประเทศที่บาทละ 23,000 บาท เพราะมีปัจจัยเรื่องเฟดขึ้นดอกเบี้ยมากดดัน

นอกจากนี้ หากธนาคารกลางญี่ปุ่นและยุโรปอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบอีกจะยิ่งทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า เป็นผลลบต่อราคาทองคำ ในทางกลับกัน หากการกระตุ้นของธนาคารกลางยุโรปและญี่ปุ่นไม่ส่งผลบวกมากนัก หรือไม่กระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้น สภาพคล่องในระบบมากจนต้องมาซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มจะทำให้ทองคำกลับมาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ราคาทองคำและราคาน้ำมันถือว่าปรับขึ้นมามากแล้ว บริษัทจึงได้เตือนนักลงทุนว่าหากรับความเสี่ยงไม่ได้มาก ควรชะลอการลงทุนออกไปก่อนและค่อยเข้าซื้อเมื่อทองคำปรับฐานอีกครั้ง

เพราะนอกจากจะมีความเสี่ยงเรื่องราคาทองที่อาจปรับลงได้แล้ว ยังมีความเสี่ยงเรื่องค่าเงินบาทที่ก่อนหน้านี้แข็งค่าขึ้นมากหลังจากนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาในตลาดทุนและตลาดเงินของไทย

ขณะที่กูรูทองคำอย่าง นายพิชญา พิสุทธิกุล อุปนายกสมาคมค้าทองคำ วิเคราะห์ว่า ภาพรวมทองคำครึ่งปีหลังมองได้ยาก ต้องดูแบบเดือนต่อเดือน เพราะมีปัจจัยเฟดเตรียมขึ้นดอกเบี้ย การอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบของธนาคารกลางญี่ปุ่น ผลกระทบของเบร็กซิทที่อาจมีอีก และกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่จ้องขายทำกำไรระยะสั้น ทดแทนการขาดทุนน้ำมันเมื่อปีก่อนหน้า อีกปัจจัยที่ต้องดูคือค่าเงินบาทหากแข็งค่าราคาทองจะขึ้นไม่ได้มาก

แต่ปีนี้มองว่าราคาทองในประเทศจะอยู่ที่บาทละ 21,000-24,000 บาท ส่วนทองคำโลกจะอยู่ที่กรอบ 1,250-1,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

ฟากตลาดหุ้นไทย จากความเห็นของนักวิเคราะห์สำนักต่างๆ มีความเห็นคล้ายกันว่าหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะขึ้นไปแตะ 1,600 จุด! เพราะมีกระแสเงินทุนต่างประเทศไหลเข้าต่อเนื่อง บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ คาดว่าไตรมาส 3 หุ้นไทยจะซื้อขายในกรอบ 1,500-1,600 จุด บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน คาดว่าหุ้นไทยจะขึ้นไปซื้อขายเหนือ 1,515 จุดและแตะ 1,600 จุดได้ บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ คาดว่าช่วงที่เหลือของปีหุ้นไทยอาจขึ้นไปซื้อขายในระดับ 1,610 จุด ที่ค่าระดับราคาปิดต่อกำไรสุทธิ (พี/อี) 18.3 เท่า ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่สูงที่สุดของตลาดหุ้นไทย เป็นต้น

แต่เมื่อกลับมาดูพื้นฐานตลาดหุ้นไทยโดยวัดจากคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนที่คาดว่าจะทำได้ในปีนี้ มีโบรกเกอร์ 10 แห่งเห็นตรงกันว่าดัชนีที่เหมาะสมหรือดัชนีเป้าหมายสิ้นปีจะอยู่ในระดับประมาณ 1,450-1,550 จุด

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พสัส จำกัด วิเคราะห์ว่า โดยปกติหุ้นไทยจะซื้อขายด้วยระดับพี/อี ที่ 14-16 เท่า หรือคิดเป็นดัชนีเหมาะสมประมาณ 1,450 จุด

ปัจจุบันหุ้นไทยปรับขึ้นมาแรงแล้ว ระดับพี/อีขยับสูงกว่า 17 เท่า ถือว่าสูงแล้ว ปัจจัยบวกมาจากกระแสเงินทุนต่างประเทศที่ไหลเข้าตลาด จึงต้องดูว่าจากนี้จะยังไหลเข้าได้มากน้อยแค่ไหน เพราะมีแรงกดดันเรื่องความแพงของตลาดหุ้นไทยและอัพไซต์ หรือโอกาสปรับขึ้นของดัชนีอยู่ในระดับจำกัด

และหากเฟดขึ้นดอกเบี้ยค่าเงินบาทจะมีแนวโน้มอ่อนค่า ความน่าสนใจในการลงทุนในไทยก็จะลดลง

ดังนั้น สิ่งที่นักลงทุนต้องจับตาหลังจากนี้คือความผันผวนของกระแสเงินร้อนจากต่างประเทศ

ส่วนปัจจัยด้านการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ น.ส.ธีระดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า กรณีเลวร้าย หากการลงประชามติไม่ผ่าน หุ้นไทยอาจย่อตัวลงบ้างในระยะสั้น เพราะกังวลว่าจะหยิบรัฐธรรมนูญฉบับใดขึ้นมาใช้ต่อ การเลือกตั้งจะเลื่อนออกไปนานเพียงใด

กรณีนี้จะกระทบแรงหากกรอบระยะเวลาการเลือกตั้งไม่ชัดเจน มีความวุ่นวายเกิดขึ้นจนควบคุมไม่ได้ แต่ยังคงเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีที่ 1,520 จุด พี/อีที่ 16.5 เท่า กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้จะเน้นการเทรด หรือซื้อขายระยะสั้นเพื่อทำกำไรเป็นหลัก แนะนำหุ้นที่มีปันผลสูง หุ้นที่อิงนโยบายรัฐ

ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นหลังเกิดเหตุการณ์เบร็กซิท เพราะนักวิเคราะห์คาดว่าธนาคารกลางประเทศต่างๆ จะลดดอกเบี้ยหรืออัดฉีดเงินเพิ่มเพื่อพยุงเศรษฐกิจ แต่หากไม่เป็นเช่นนั้นตลาดอาจผิดหวังและปรับลงได้

นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางการเมืองที่จะเพิ่มขึ้น เช่น การทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญของอิตาลีในเดือนตุลาคมอาจนำไปสู่ความเสี่ยงในการล้มรัฐบาลและเกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง ราคาน้ำมันที่เริ่มปรับตัวลดลงตามปริมาณการผลิตน้ำมันในสหรัฐ ที่แนวโน้มกลับมาเพิ่มขึ้น จึงคาดว่าตลาดมีโอกาสปรับฐานในระยะสั้นได้

จึงแนะนำให้นักลงทุนขายทำกำไรสินทรัพย์เสี่ยงบางส่วนและถือเงินสดรอลงทุนรอบใหม่

ทั้งหมดเป็นเพียงการคาดการณ์บนพื้นฐานข้อมูลและความน่าจะเป็น แต่ในห้วงที่โลกกำลังควานหาจุดสมดุลใหม่ สภาพคล่องยังล้นโลก อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้

ดังนั้น การลงทุนจึงขึ้นอยู่กับข้อมูล การตัดสินใจ

และความเสี่ยงที่รับได้ของแต่ละบุคคล…