จรัญ พงษ์จีน : สารพันดราม่า “พลังประชารัฐ”

จรัญ พงษ์จีน

ช่วงนี้ “พรรคพลังประชารัฐ” งานเข้ามีประเด็น “ดราม่า” มาให้เคลียร์กันเป็นระลอก เกิดขึ้นถี่ยิบ ล่าสุด ว่าด้วยเรื่อง “ปรับคณะรัฐมนตรี” อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ขนาด “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามผู้สื่อข่าว สารภาพเองว่า “มีดราม่า”

“ในส่วนของการปรับ ครม.เป็นเรื่องของผม จะรู้เองว่าควรพิจารณาเมื่อไหร่ อย่างไร คงไม่ใช่ตอนนี้ เพราะฉะนั้น คงไม่ต้องเสนอตัวกันมาเยอะในขณะนี้ ฉะนั้น กรุณาเลิกและงดเสนอข่าวพวกนี้ได้แล้ว มันเหมือนดราม่า ละครสักเรื่องหนึ่ง ต้องย้อนกลับมาดูตัวเหมือนกัน อย่าเพิ่งไปถึงโน้นถึงนี้เลย อย่ามาถามผมปรับ ครม.หรือยัง ถ้าปรับเมื่อไหร่ผมจะบอกเอง เป็นการตัดสินใจของนายกฯ แต่เพียงผู้เดียว”

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับคำว่า “ดราม่า” เป็นคำสแลงหมายถึง เรื่องราวข่าวลือ เรื่องโกหกพกลม ที่กล่าวเกินจริง หรือเรื่องระหว่างบุคคลที่มีการแสดงท่ามากเกินไป

ขณะเดียวกันความเข้าใจของผู้คนในสังคมไทย “ดราม่า” มีความหมายในเชิงสังคมอีกนัยยะหนึ่ง เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากความคิดเห็นที่แตกต่าง อคติ หรือจริงจังมากเกินไป แล้วก่อให้เกิดความขัดแย้ง รำคาญใจ ต่อยอดออกไปไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่

แต่ไม่ว่าหนัง-นิยาย หรือแวดวงการเมืองในบ้านเรา “ดราม่า” มากๆ นานๆ เข้า มักจะยกระดับเข้าสู่โหมด “น้ำเน่า” แปรสภาพเป็นไร้สาระ ไม่สร้างสรรค์ โดยอัตโนมัติ เละตุ้มเป๊ะ ดุจเดียวกับ “พรรคพลังประชารัฐ” ที่กำลังดังระเบิดเถิดเทิงอยู่เวลานี้

“พปชร.” มีเกมดราม่า 2 จังหวะด้วยกัน “จังหวะที่หนึ่ง” ว่าด้วย “ศึกยึดพรรค” ดังที่ทราบว่าสงคราม “จบบริบูรณ์” และเร็วเกินคาด ไปเป็นที่เรียบโร้ยแล้ว “กลุ่มสี่กุมาร” อันประกอบด้วย “อุตตม สาวนายน-สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์-สุวิทย์ เมษินทรีย์” โดนต้อนม้วนเดียวจอด

เมื่อกรรมการบริหารพรรคจำนวน 18 คนยื่นใบลาออก ทำให้ กก.บห.ชุดที่สี่กุมารคุมอำนาจอยู่ ต้องพ้นจากตำแหน่งไปตามข้อบังคับพรรค และกำหนดให้เลือกชุดใหม่ให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน

มีการนำรายชื่อ 18 คนที่เป็น กก.บห.พปชร.ที่ร่วมลงนาม มาจำแนกแยกกลุ่มว่าไผเป็นไผกันแล้ว จากทั้งชุด 34 คน เท่ากับวางอุเบกขาเฉยอีก 16 คน ประกอบด้วย “อุตตม-สนธิรัตน์-สุวิทย์-กอบศักดิ์ ภูตระกูล-พรชัย ตระกูลวรานนท์-วิเชียร-ชวลิต-สันติ ถีระนันท์-ประภาพร อัศวเหม-ชวน ชูจันทร์-อิทธิพล คุณปลื้ม”

ขณะที่อีก 6 ราย เครือข่ายสนับสนุนเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรค แต่ “สงวนท่าที” ไม่ยื่นใบลาออก ประกอบด้วย “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์-วิรัช รัตนเศรษฐ-สุชาติ ชมกลิ่น-อนุชา นาคาศัย-ไพบูลย์ นิติตะวัน-สุรวุฒิ เนื่องจำนงค์”

ซึ่งตรงกับที่ได้บอกกล่าวมาสองสามครั้งแล้วว่า มหกรรมรุมกินโต๊ะสี่กุมาร ให้พ้นสภาพนักศึกษา หลุดวงโคจรจากศูนย์อำนาจ พปชร. เพื่อเปิดทางสะดวกให้พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” มานั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรค

มีฐานเสียงไหลมาหล่อรวมกันทุกกลุ่มทุกมุ้งมากถึง 24 คน ซึ่งแสดงว่า “ทีมสี่กุมาร” มีขุมกำลังอยู่ในกำมือน้อยมากทั้งๆ ที่เป็นผู้บริหารพรรค เพียง 10 เสียงจากจำนวนเต็ม 34 คน

ศาสตร์การบริหารซึ่งถือว่าละอ่อนเอามากๆ จึง “เสียเมือง” ไปโดยง่าย อีกฝ่ายไม่ทันออกแรง

 

“จังหวะที่สอง” เมื่อสงคราม “ยึดพรรค” ยุติโดยเร็วและจบลงด้วยความพ่ายแพ้แบบหมดรูปของ “สี่กุมาร” การเมืองใน พปชร.ต้องยกระดับต่อไปสู่การ “ปรับคณะรัฐมนตรี” ในลำดับถัดไป อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หมากเดินทีละก้าว กินทีละคำ ตามสเต็ป กล่าวคือ ก่อนวันที่ 21 มิถุนายน ภายในกรอบ 45 ตามข้อบังคับพรรค “กก.บห.ชุดเก่า” ชุดที่พ่ายแพ้ ต้องเรียกประชุมเพื่อเลือก กก.บห.ชุดใหม่

แต่กรณีที่ไม่อยากให้หลุดออกจากพรรค มีเงื่อนไขเตะสกัดได้อยู่ 2 วิธีด้วยกันคือ โหนกระแส “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ที่ “บิ๊กตู่” ใช้เพื่อสกัดโควิด-19 พรรคไม่สามารถเรียกประชุมได้ เช่นเดียวกับกิจกรรมอื่นๆ

แต่ล่าสุด หลวงผู้รอบรู้มีการชี้ช่องทางข้อกฎหมายแล้ว สามารถกระทำได้ โดยไม่ต้องใช้บริการช่องทาง “วิดีโอคอนเฟอเรนซ์” แต่ประการใด “พปชร.” สามารถเลือกเวลาเช็กบิลกันได้ ถ้าพร้อม

กับเงื่อนไขที่สองขึ้นอยู่กับ “พล.อ.ประยุทธ์” ในฐานะผู้นำรัฐนาวา ว่าจะปรับปรุงคณะรัฐมนตรีหรือไม่ หรืออยากสกัดยับยั้งให้ “สี่กุมาร” อยู่ในตำแหน่งเสนาบดีกันต่อ โดยแยกแบ่งเขต แยกส่วนระหว่าง “พรรค” กับ “งานบริหาร” ออกจากกัน แต่ถึงขั้นนี้แล้ว เชื่อหัวเณรเรืองได้ล้านเปอร์เซ็นต์ว่า “บิ๊กตู่” จะหลีกเลี่ยงลำบาก อย่างดีทำได้แค่ตีกรรเชียง “ซื้อเวลา” พักเบรกได้แป๊บเดียวเท่านั้น แต่จะลากยาวได้ยาก

ปัญหามันอยู่ที่ว่า บุคคลที่จะมาสืบสานในตำแหน่งรัฐมนตรีทีมต่อไป มีชื่อเสียงเรียงนามใด สู้ “ขาเก่า” ได้หรือไม่ นี่คือปัจจัยสำคัญ

เวทีการเมือง จะเอาความ “ดี-ชั่ว” มาเป็นมาตรวัดทั้งหมด ว่า “คนดีๆ” อยู่ไม่ได้ ไม่มีที่ยืนให้ในทางการเมือง ก็ถูกทั้งหมด

“ส.ส.” หรือ “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” จะชั่วๆ ดีๆ อ้วน ต่ำดำเหม็น หน้าตาขี้เหร่อัปลักษณ์อย่างไร แต่มาตามครรลอง ผ่านจากกระบวนการเลือกตั้ง ไม่ว่าเขตหรือบัญชีรายชื่อ ถูกต้องตรงเป๊ะตามรัฐธรรมนูญที่กำหนด

ฉันใด “ชาวประมง” รู้ว่าออกทะเล รู้ทิศทางลม ไปทางไหน วิธีหาปลาควรทำอย่างไร มาให้เรากินได้ ฉันนั้น “ผู้แทนฯ” จะกเฬวราก เหลือขอขนาดไหน เมื่อมาจากประชาชนพลเมือง

จะขี้เกียจตัวเป็นขนอย่างไร การได้รับเลือกตั้งก็ต้องลงพื้นที่บ้างละ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ จะได้รับเลือกตั้งตลอดกาล คงเป็นไปไม่ได้ต่อไป

วกกลับไปที่ “จังหวะที่สอง” โหมดปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่ง “พล.อ.ประยุทธ์” ลั่นวาทกรรมเสียงดังว่า “อยู่ที่ผมคนเดียว” และมีแนวโน้มเหมือนจะลากยาว

แต่ยี่ห้อ “บิ๊กตู่” มักพูดอะไรแปลได้ไปทางที่ตรงกันข้ามเนืองๆ แต่ไม่ใช่ว่าเชื่อถือไม่ได้

เช่นตอนปี 2557 ทหารจะไม่ปฏิวัติ เดือนพฤษภาคม “ยึดอำนาจ”…จากนั้น บอกว่าอีกไม่นานจะเลือกตั้ง แต่อย่างน้อยๆ 5 ครั้ง รากงอกอยู่เกือบห้าปี

ดังนั้น “หวยปรับ ครม.” ถ้าจับทางลมจากนี้ น่าจะไม่นาน

 


พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย.63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่