“ผมน่าจะตายไปตั้งแต่วันที่ 8 มีนา” เรื่องเล่าและความคิดของคนที่ชีวิตได้ “ตัวป๊อก”

อยู่ๆ ในเฟซบุ๊ก Pongsuk Nuishow Hiranprueck ของพิธีกรไอทีคนดัง หนุ่ย-พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ ก็ปรากฏข้อความ “ผมคิดว่า #ที่จริงผมน่าจะตายไปตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคมแล้ว” พร้อมติดแฮชแท็ก “#อย่าเล่นบนบันไดวน”

จากการสอบถาม เจ้าตัวเล่าความว่า เมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา เป็นวันที่เขาและครอบครัวอยู่เที่ยวที่พม่าเป็นวันสุดท้าย และก็เกือบจะเกิดเหตุร้ายรุนแรงขึ้น

เนื่องจากขณะที่ภรรยาของเขา แม่ของเด็กหญิง 2 คน วัย 6 และ 2 ขวบ ตามลำดับ เดินล่วงหน้าลงบันได ซึ่งเป็นบันไดวนที่มีความสูงไล่ระดับไปตามชั้นของตึกโรงแรมที่มีทั้งหมด 5 ชั้น เพื่อคอยเก็บภาพอิริยาบถน่ารัก น่าเอ็นดูของลูกๆ ตามความเคยชิน ลูกทั้ง 2 ก็เดินเล่น นั่งเล่น ตามขั้นบันไดไปตามประสา ส่วนเขาก็ก้าวตามเป็นคนสุดท้าย

อยู่ๆ เขาก็เห็นลูกสาวคนเล็ก “มานี่” พลิกตัวไปอยู่ตรงช่องว่างตรงกลางของช่องราวบันไดวน ที่แม้จะมีไม้ตีกั้นไว้ แต่ก็เป็นไปแบบห่างๆ ซึ่งมองยังไงๆ ในตอนนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีโอกาสจะตกลงไปสูง

โชคดีที่เขาพุ่งไปคว้าตัวเอาไว้ทัน

“ผมร้องไห้ในทันที ปล่อยโฮออกมาด้วยความตกใจมาก มุมที่ผมเห็นแม้เธอจะยังไถลไปไม่สุดขอบ “แต่อีกนิดเดียว”

หลังเหตุการณ์ดังกล่าว นอกจากจะทำให้เขาเข่าเจ็บจากการกระแทกตอนพุ่งตัว จนลูกสะบ้าอักเสบแล้ว หนุ่ย พงศ์สุข ก็ว่า “มันสร้างความคิดให้ผมหลายเรื่องเลยนะครับ”

“คิดทบทวนในหัวไปมา ว่าถ้าลูกของผมตกลงไปจริงๆ วันนี้เราคงไม่ได้มานั่งคุยกัน เพราะผมอาจจะอยู่ในสภาพที่กระโดดตามลงไป แล้วตาย หรือกระโดดตามลงไป แล้วพิการ หรือผมอาจจะทนไม่ได้ที่ยังอยู่ ณ ประเทศไทยในตอนนี้ เนื่องจากคนด่า เพราะมันมีคลิปที่ถ่ายไว้ในกล้อง เห็นชัดเจนว่าเราเอาลูกไปเล่นบนบันได ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เราคาดไม่ถึงเลยนะ”

“เราประมาทเกินไปที่เห็นว่าเด็กน่ารัก ก็อยากจะหยิบกล้องมาถ่ายเก็บอิริยาบถของลูกไว้ ถ้าผมไม่เห็นตอนเดินลงมา ถ้าผมมัวแต่ก้มถ่ายมือถือ แล้วลูกตกลงไป วันนี้ผมอาจจะไม่มีลมหายใจแล้ว ฉะนั้น ผมเลยคิดว่า ผมน่าจะตายไปตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม”

“ฉะนั้น หลังจากนี้ ผมถือว่าเป็นโบนัส ชีวิตได้ตัวป๊อก ได้เพาเวอร์อัพอีกหนึ่งก้อนที่จะสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อีกยาวไกล เพราะฉะนั้น จากที่เคยคิดทำอะไรเพื่อตัวเอง ก็จะคิดทำอะไรเพื่อความฝันของคนอื่นบ้าง เช่น ถ้าคุณมีความฝันที่อยากจะทำอะไร แล้วผมช่วยได้ด้วยความสามารถที่ผมมี ก็มาคุยกัน ผมยินดีที่จะเปิดโหมดในการที่จะทำเพื่อคนอื่น ในอดีตที่ผ่านมาไม่ได้แปลว่าผมเห็นแก่ตัว แล้วก็ไม่ทำอะไรเพื่อคนอื่นเลยนะครับ แต่อยากจะทำอะไรเพื่อคนอื่นมากขึ้น”

“ถ้าสังเกตเส้นทางของผม จะเห็นว่างานทุกอย่างที่ผมทำ คือการทำตามฝันของตัวเอง อยากทำพิธีกรด้านไอที ผมก็ทำรายการ ผลิตรายการออกมา อยากจัดงานเกม แข่งขันเกม ก็ทำไทยแลนด์เอ๊กซ์โป ผมมีความฝันอะไร ก็พยายามทำเองให้สำเร็จ ลดการพึ่งพิง แต่ปัจจุบันสิ่งที่ผมคิดใหม่ก็คือ ถ้าใครเห็นว่าผมมีความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นในการเล่าเรื่อง สื่อสาร การเป็นพิธีกร หรือแม้กระทั่งเอาสมองของผมไปใช้ แล้วอยากให้เป็นความฝันของเขาบ้าง ผมก็ยินดีจะช่วยคิด ช่วยทำ นี่คือสิ่งที่ผมปวารณาตัวเองจากความนึกคิดใน 10 กว่าวันที่ผ่านมา เพราะถ้าเกิดเราตายไปแล้ว ก็คงไม่ได้ทำประโยชน์ให้คนอื่นแล้ว”

บอกอีกว่าตอนนี้นอกจากเรื่องของการทำประโยชน์เพื่อคนอื่นให้มากขึ้น ในแง่มุมมองการใช้ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

“ผมคุยกับภรรยาเลยว่า ต่อไปเราจะต้องประเมินสถานการณ์และสถานที่ทุกครั้ง คือเราเป็นคนทัศนคติโลกสีขาว โลกสวย คิดว่าอุบัติเหตุหรือเรื่องร้ายๆ คงไม่เกิดกับเราหรอก เพราะเราเป็นคนที่ไม่ได้คิดร้ายกับใคร แต่ความเป็นจริงอุบัติเหตุมันเกิดได้ทุกที่ แล้วเกิดได้ทุกเวลา ฉะนั้น มันเป็นสิ่งที่เราจะไม่ก้าวข้ามและไม่เผลออีกแล้ว ที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้ใช้ชีวิตประมาทเลินเล่อนะครับ แต่เราจะเพิ่มความปลอดภัยให้มากขึ้น”

“อาจจะลดการถ่ายคลิปลง แล้วหันมาสนใจสภาพแวดล้อมของลูกโดยรอบ มากกว่าการมองจ้องในจอ”

“เราจะไม่ลืมความรู้สึกในวันนั้น”