เศรษฐกิจ / งบฯ ฟื้นฟู 4 แสนล้านยั่วยวน! พปชร.ฟัดกันนัวเขี่ย 4 กุมารพ้น ครม. ตามสูตรเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล

เศรษฐกิจ

 

งบฯ ฟื้นฟู 4 แสนล้านยั่วยวน!

พปชร.ฟัดกันนัวเขี่ย 4 กุมารพ้น ครม.

ตามสูตรเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล

 

กระแสปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เริ่มชัดขึ้นทุกวันจากปฏิกิริยาของทุกภาคส่วนที่ออกมาแสดงอากัปกิริยา หรือแสดงความเห็นต่อเรื่องนี้…

จุดเริ่มต้นจาก 18 กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ยื่นใบลาออกจากพรรคเมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา ด้วยจำนวนกึ่งหนึ่งของกรรมการบริหารพรรคทั้งสิ้น 34 คน มีผลให้กรรมการบริหารทั้งชุดหลุดจากตำแหน่งทันที และมีเวลา 45 วันในการเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่

การเปลี่ยนแปลงของ พปชร.มีเป้าหมายเพื่อเด็ดตำแหน่งหัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรค ของ “อุตตม สาวนายน” หัวหน้าพรรคและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” เลขาธิการพรรคและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

เมื่อตำแหน่งในพรรคเปลี่ยน เก้าอี้ใน ครม.ย่อมต้องขยับตาม คาดว่าจะเห็นภายในเดือนมิถุนายนนี้

โดยเฉพาะการขยับของทีมเศรษฐกิจ หรือแก๊ง 4 กุมาร ของ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี “อุตตม สาวนายน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน “สุวิทย์ เมษินทรีย์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และ “กอบศักดิ์ ภูตระกูล” รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ให้หลุดจากตำแหน่ง

 

“สุวิทย์” ชี้แจงว่า “เรามาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกัน แต่ไม่เกี่ยวกับการทำงาน ก่อนหน้านี้พวกผมคือ 4 กุมารลาออกจากรัฐบาล คสช. เพื่อไปตั้งพรรคใหม่ เป็นอารมณ์ของการที่มาด้วยกัน ก็ต้องไปด้วยกัน ก็ต้องคุยกัน ซึ่งการตัดสินใจจะไม่ใช้อารมณ์ และเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ แต่เป็นเรื่องภายในพรรค 4 กุมารเป็นกรรมการบริหาร แต่นายสมคิดเป็นอาจารย์ของผม และให้การสนับสนุน 4 กุมารมาตลอด ก็แล้วแต่ท่าน”

เป็นคำสัมภาษณ์ที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน!!

แต่ที่สร้างเซอร์ไพรส์ไม่ต่างกับการเปิดหน้าชก คือ คำให้สัมภาษณ์ล่าสุดของ “สมคิด” ที่ระบุว่า “ไม่ว่าใครจะพูดอะไร จริงเท็จหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าเราเสนอให้น้อยหน่อย ไม่เสนอในสิ่งที่ไม่สร้างสรรค์มันก็จะช่วยการเมืองได้ไม่ใช่หรือ คนดีๆ เราต้องการให้เข้ามาอยู่ในเมืองไทย ให้เขาเข้ามาช่วยทำงานการเมืองใช่หรือไม่ เราเห็นตั้งแต่วันแรกแล้ว รัฐมนตรีอย่างเช่น นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คนดี คนเก่ง ซื่อสัตย์ สุจริต เขาก็อยู่การเมืองไม่ได้ แล้วถ้าคนดีทยอยออกไป…”

แม้ “พล.อ.ประยุทธ์” จะปฏิเสธถึงกระแสการปรับ ครม. แต่ล่าสุดไม่ขัดข้องหาก “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” จะนั่งตำแหน่งหัวหน้าพรรค พปชร.

ขณะที่รายชื่อผู้ที่มาแทน “สมคิด” และทีม มีการเปิดเผยหลายชื่อ ส่วนจะเป็นใคร “พล.อ.ประยุทธ์” ย่อมมีรายชื่อในมือ รอเพียงจังหวะเหมาะสม

 

อย่างไรก็ตาม ภาพความขัดแย้ง การแย่งชิงตำแหน่งในพรรค ต่อเนื่องถึง ครม. ในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตจากโควิด-19

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ประเมินว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปีนี้คาดว่าจะปรับตัวลดลง -6.0 ถึง -5.0% หรือเฉลี่ยที่ -5.5% รวมทั้งคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะปรับตัวลดลง -8.0% จนรัฐบาลต้องออก พ.ร.ก.เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท และจำนวนนี้ได้กันเงินสำหรับฟื้นฟู 4 แสนล้านบาท

ล่าสุด สศช.แจกแจงตัวเลขคำของบฯ ฟื้นฟู 4 แสนล้านบาท มีเข้ามากว่า 7 แสนล้านบาท

ว่ากันว่าเจ้าเงินฟื้นฟูวงเงินมหาศาล 4 แสนล้านบาทนี่เอง ที่เย้ายวนนักการเมืองทุกฝ่ายให้เปิดศึกครั้งนี้ ทั้งศึกชิงเก้าอี้ และศึกรักษาเก้าอี้!!

 

อย่างไรก็ตาม ในมุมของเอกชน “เกรียงไกร เธียรนุกุล” รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า

“หากมีการปรับ ครม.ตามที่มีกระแสข่าวจริง ก็ต้องขึ้นกับ พล.อ.ประยุทธ์ในการเลือกบุคคลเข้ารับตำแหน่ง เชื่อว่านายกรัฐมนตรีจะเลือกคนดี คนเก่ง เข้ามาบริหารงาน มุมของเอกชนภาคการผลิตจะให้ความสำคัญกับผู้ที่สามารถเข้ามาเรียกความเชื่อมั่นให้กับคนในประเทศและต่างชาติได้ ต้องได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย ต้องสามารถเดินหน้าแผนฟื้นฟูของประเทศที่กำหนดวงเงินสำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม 4 แสนล้านบาท จาก พ.ร.ก.กู้เงิน 1.9 ล้านล้านบาท ต้องผลักดันโครงการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการจ้างงาน สร้างอาชีพ หลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างเริ่มต้น คนมาใหม่ต้องสามารถเดินหน้าแผนฟื้นฟูได้ทันที ไม่ใช่เริ่มใหม่ ไม่ทำให้งานสะดุด”

รองประธาน ส.อ.ท.ชี้ว่า นอกจากนี้ต้องกระตุ้นการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพราะเป็นนโยบายสำคัญของประเทศ ต้องสามารถเดินหน้าโครงการลงทุนสำคัญของประเทศ อาทิ โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ตามที่ประเทศไทยเคยประกาศแผนลงทุนในช่วงที่ผ่านมา เพราะนักลงทุนต่างชาติจะติดตามว่าไทยสามารถดำเนินการตามที่ประกาศไว้หรือไม่ เป็นอีกความเชื่อมั่นของประเทศในสายตานักลงทุนต่างชาติ

ด้าน “สนั่น อังอุบลกุล” รองประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ระบุว่า แม้จะมีการปรับ ครม. เปลี่ยนรัฐมนตรี แต่สถานการณ์เวลานี้ใครเข้ามาก็คงทำอะไรมากไม่ได้ เพราะทางเลือกมีน้อย เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับผลกระทบจากโควิด-19 รัฐบาลต้องมีบทบาทมากที่สุดในการฟื้นฟู ป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดรอบ 2 อย่างไรก็ตาม แนวทางที่จำเป็นต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยเวลานี้ คือ การบริโภคในประเทศ ต้องไทยช่วยไทย

ขณะที่ภาครัฐต้องสนับสนุนสินค้าไทยผ่านงานประมูลต่างๆ สินค้าไทยต้องมาก่อน

 

ขณะที่มุมมองจากสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (เฟทโก้) ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ เชื่อว่าบรรยากาศทางการเมืองในขณะนี้ไม่ได้มีน้ำหนักที่จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุนมากนัก โดยประเมินเสถียรภาพทางการเมือง หรือแง่ของจำนวนเสียงของรัฐบาล เบื้องต้นคงไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก ส่วนการเปลี่ยนตัวคณะรัฐมนตรี หรือการโยกย้ายในฝ่ายการเมือง มองว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว จึงเชื่อว่านักลงทุนคงไม่ได้ให้น้ำหนักในปัจจัยนี้มากนัก

“หากจะเปลี่ยนใครเข้ามาก็อยากจะให้เลือกคนที่มีความเชี่ยวชาญ มีความรู้ และความสามารถอย่างแท้จริง เพราะการปรับเปลี่ยนบุคคลไม่ได้มองว่ามีผลมากนัก ขณะนี้มองว่ารัฐบาลมีเสถียรภาพมากกว่าช่วงที่เริ่มต้นจัดตั้งรัฐบาลแรกๆ ด้วยซ้ำ ในแง่ของเสียงที่มีมากขึ้น เพียงแต่ในช่วงนี้เป็นช่วงที่มีวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้น ก็อยากให้การปรับเปลี่ยนบุคคลเข้ามาทำงานด้านการเมือง ขอเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ และเข้าใจระบบเศรษฐกิจอย่างแท้จริง เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่เศรษฐกิจประสบปัญหาค่อนข้างมาก จึงจำเป็นต้องมีคนที่มีความรู้ด้านเศรษฐกิจจริงๆ เข้ามา หากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น”

น่าติดตามด้วยใจระทึกว่าเกมปรับ ครม.ครั้งนี้จะจบลงอย่างไร!!

        แต่เห็นสัจธรรมข้อหนึ่งในเกมการเมือง “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล”


พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่