ในประเทศ / #SAVE คนดี…?

ในประเทศ

 

#SAVE คนดี…?

 

คนที่อาจจะเข้าใจหัวอกนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ดีที่สุดตอนนี้

คงไม่พ้นคนที่ชื่อ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล

ย้อนเวลากลับไปเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2558

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สร้างความประหลาดให้กับรัฐมนตรีที่เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)

ด้วยการกล่าวกับที่ประชุม ครม.ว่า

“ขอบคุณ ครม.ที่ช่วยกันทำงาน แต่มีความจำเป็นต้องปรับ ครม. รัฐมนตรีแต่ละคนไม่ได้มีปัญหาหรือมีข้อบกพร่องในการทำงาน แต่ที่จำเป็นต้องปรับเพื่อให้เกิดความเหมาะสม ไม่ได้ปรับตามกระแส เคารพพี่ๆ ทุกคน”

เมื่อนายกฯ พูดเสร็จ รัฐมนตรีหลายคนถึงกับนิ่งอึ้ง

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีเอ่ยอย่างสุภาพบุรุษว่า

“เข้าใจความจำเป็นนายกฯ ว่าทำเพื่อประโยชน์เป็นที่ตั้ง”

 

แต่ก็เป็นความเข้าใจ “ราคาแพง” อย่างยิ่ง

เพราะเมื่อประกาศผลการปรับ ครม.ออกมา

รัฐมนตรีในทีมเศรษฐกิจของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ซึ่งถูกระบุ

เป็นคนดี

คนไม่มีปัญหา

คนไม่มีข้อบกพร่อง

หลุดจากโผทั้งยวง

ไม่ว่า นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รมว.อุตสาหกรรม นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รมว.พลังงาน นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายพรชัย รุจิประภา รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นายอำนวย ปะติเส รมช.เกษตรและสหกรณ์

ส่วนฝ่ายที่เข้ามา “เสียบ” แทนก็ไม่ใช่ใครอื่น

หากแต่คือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจและสมาชิก คสช.นั่นเอง

โดยเข้ามาเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ

นำทีมการทำงานด้านเศรษฐกิจมาครบครัน

อาทิ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการธนาคารไทยพาณิชย์ เป็น รมว.คลัง แทนนายสมหมาย ภาษี ที่ถูกปรับออก นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาเป็น รมช.พาณิชย์ ขณะที่นายอุตตม สาวนายน อธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เป็น รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) แทนนายพรชัย รุจิประภา ที่ถูกปรับออก นางอรรชกา สีบุญเรือง ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้ามาทำหน้าที่เป็น รมว.อุตสาหกรรม แทนนายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ที่ถูกปรับออก

รวมถึงนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ นักธุรกิจ จากที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นางอรรชกา สีบุญเรือง) ในเดือนกันยายน พ.ศ.2558 และเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ในเดือนธันวาคม พ.ศ.2559

 

การเข้ามาของทีมเศรษฐกิจนายสมคิด เกิดขึ้นท่ามกลางข้อกล่าวหาทีมเศรษฐกิจเดิมของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ทั้งใต้ดิน บนดิน ว่าล้มเหลวในการทำงาน

โดยเฉพาะจากการประเมินของที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นายสมคิดนั่งเป็นประธาน

นั่นเองทำให้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรและทีมงาน แตกหักกับรัฐบาล

ไม่ยอมร่วมทำงานต่อ

พร้อมทิ้งวาทะอันลือลั่น “แบ่งแยกแล้วปกครอง” ไว้ข้างหลัง

ส่วนรัฐมนตรีบางคน ก็สวมวิญญาณ “ฝ่ายค้าน” นอกสภา มากระทั่ง ณ วันนี้

สะท้อนภาวะความแค้นฝังลึก

ที่ทั้ง ม.ร.ว.ปรีดิยาธรและนายสมคิด มองตาก็ทะลุเข้าไปถึงหัวใจ!

 

จากวันนั้นมาถึงวันนี้ ทีมเศรษฐกิจของนายสมคิดที่เคยใหญ่โต ร่อยหรอลงตามลำดับ

แม้ว่าในช่วง “เปลี่ยนผ่าน” จาก คสช.ไปเป็นรัฐบาลเลือกตั้ง ทีมของนายสมคิดที่ถูกเรียก 4 กุมาร

อันประกอบด้วย นายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล จะเข้าไปสร้างพรรคพลังประชารัฐขึ้นมา

โดยใช้ภาพพจน์ความเป็นนักวิชาการ นักธุรกิจ ทำให้พรรคเจือจางสี สีเขียว ลงได้มาก

และยังเข้าไปดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และทีมนโยบาย เพื่อลบภาพการต่อเชื่อมอำนาจจาก คสช. ซึ่งก็ได้ผลระดับหนึ่ง

แต่กระนั้น หลังเลือกตั้ง และได้เข้ามาเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาล บทบาทของนายสมคิดและ 4 กุมาร มิอาจทะลุระบบโควต้า ทั้งภายในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรคร่วมรัฐบาลไปได้

จึงสามารถครองตำแหน่งได้เพียง 4 เก้าอี้ คือรองนายกรัฐมนตรีและ 3 รัฐมนตรี นายกอบศักดิ์ต้องออกไปยืนอยู่ข้างนอก

ภาพแห่งการเป็นทีมเศรษฐกิจหายไป นายสมคิดกลายเป็นเพียงรองนายกฯ ที่ดูแลรัฐมนตรีในทีมเท่านั้น

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเอง

ยิ่งทำให้คนข้างนอกมองเห็นระยะห่างที่เกิดขึ้น ทั้งในรัฐบาลและในพรรค พปชร.

และที่สุด ด้วยภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่ถาโถมเข้าใส่ต่อเนื่อง

เช่นเดียวกับมรสุมภายในพรรคที่มุ่งเข้าโจมตีหัวหน้าและเลขาธิการพรรค ฐานไม่ดูแล ส.ส.อย่างดีพอ ผสมเจือกับความต้องการให้มีการปรับคณะรัฐมนตรี

ที่สุด “เป้าแห่งการทำลาย” ที่มากด้วยเล่ห์เหลี่ยมการเมือง ก็พุ่งเข้าใส่นายสมคิดและ 3 รัฐมนตรี

และอย่างที่เห็น เริ่มจากการบีบให้ทิ้งเก้าอี้หัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค

ก่อนที่จะรุกไปสู่จุดหมายสุดท้าย นั่นคือเก้าอี้รัฐมนตรี

 

นี่จึงนำมาสู่วาทะอันชวนคิดจากปากของนายสมคิด ถึงกระแสข่าวความวุ่นวายภายในพรรค พปชร.

“ช่วงนี้พวกเราทุกคนไม่ว่าใครต้องร่วมใจช่วยกันดูแลให้การเมืองดี”

“การเมืองสำคัญมากและเป็นหน้าที่ทุกคน ถ้าการเมืองดี เศรษฐกิจก็จะดีตาม สังคมก็จะดีตาม”

“ถ้าบรรยากาศการเมืองไม่ดี งานการก็เดินไม่ได้ ทุกคนเดือดร้อนรวมทั้งพวกเราด้วย ต้องช่วยกัน”

“เราต้องการให้คนดีๆ เข้ามาช่วยทำงานการเมือง เราเห็นตั้งแต่วันแรกแล้วอย่างนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง คนดี คนเก่ง ซื่อสัตย์ สุจริต เขาก็อยู่การเมืองไม่ได้”

“แล้วถ้าทยอยไปทีละคน ใครจะทำงาน พวกเขาไม่ได้เดือดร้อน คนอื่นต่างหากที่จะเดือดร้อน”

“คนดีมีเยอะในเมืองไทย และอยากให้เขาเข้ามา ถ้าเข้ามาได้ก็เชิญเข้ามาเลย”

 

วาทะคนดีอยู่การเมืองไม่ได้

ตีความเป็นอื่นใดไม่ได้

นอกจาก “ซือแป๋กวง” กำลังโยนคำถามสำคัญไปยังพรรค พปชร. พล.อ.ประยุทธ์ และสังคม ว่า จะไม่ปกป้องคนดีหรือ

และคนดีนั้น ย่อมมีภาพของนายสมคิดและ 4 กุมาร ลอยโดดเด่น

ทั้งนี้ นายสมคิดที่แม้จะวางตัวเหนือการเมือง แต่ก็ผ่านการเมืองมามาก

ย่อมรู้ดีว่าขณะนี้กลุ่มตนเองเสียเปรียบหรือได้เปรียบตรงไหน

เสียเปรียบ ก็คือเสียงในพรรค

ที่บีบคั้น กดดันให้มีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคสำเร็จไปค่อนตัว

ขณะนี้เหลือเพียงการรักษาเก้าอี้รัฐมนตรี

ซึ่งจากกระแสสังคม และจากฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาล ดูจะสนับสนุนนายสมคิดกับทีม 4 กุมารมากกว่าฝ่ายที่เข้ามายึดพรรคและพยายามชู พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคแทน

ด้วยเห็นว่า พรรคจะมีจุดอ่อนและอยู่ภายใต้การนำของนักการเมืองเขี้ยวลาก

อันจะไม่เป็นผลดีต่อพรรคและรัฐบาล

 

จากกระแส “ไม่เอานักเลือกตั้ง” นี้เอง ทำให้นายสมคิดชูขึ้นมาเป็นประเด็นต่อสู้

นั่นคือ ปลุกกระแส #SAVE คนดี

ปกป้องและให้โอกาส “คนดี” ทำงาน

โดยหวังว่าสังคมจะสนับสนุน

และหวังยิ่งกว่านั้น คืออาจจะโน้มน้าวให้ พล.อ.ประยุทธ์ให้รักษาภาพปกป้อง “คนดี”

ซึ่งนั่นอาจทำให้ผลการปรับคณะรัฐมนตรีเป็นบวกแก่ฝ่ายนายสมคิดและพวกมากกว่า

ด้วยตอนนี้ การปรับ ครม.ยังไม่ได้ดำเนินการ

โดย พล.อ.ประยุทธ์แจ้งต่อ ครม.เพียงว่า

“ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง การเมืองก็เป็นเรื่องการเมืองไป ตอนนี้ผมยังไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ให้ทุกคนทำงานตามหน้าที่กันไปให้เรียบร้อย เรื่องอื่นผมตัดสินใจของผมเอง”

เมื่อการตัดสินใจของผู้นำรัฐบาลยังไม่ถึงที่สุด

การเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของผู้นำจึงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

การปลุกกระแส #SAVE คนดี จึงถือเป็นไพ่ใบสำคัญของฝ่ายนายสมคิด

ที่เมื่อถูกตั้งคำถามว่า แล้วนายกฯ คิดเหมือนกันหรือไม่ (ในการปกป้องคนดี)

นายสมคิดได้ตอบแทนไปแล้วอย่างมั่นใจว่า

“อ้าว นายกฯ เป็นคนดีใช่หรือไม่ ท่านก็ต้องคิดเหมือนกัน”

 

ฝ่ายตรงข้ามในพรรค ย่อมมองเกม #SAVE คนดี นี้ออก

จึงไม่แปลกใจที่มีการดาหน้าออกมาแก้เกมทันที

โดยนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรักษาการ กก.บห. พรรค พปชร. ออกมาโต้ว่า

“นักการเมืองในสภาไม่สบายใจกรณีที่นายสมคิดระบุว่า คนดีอยู่ไม่ได้ ไม่มีที่ยืน เพราะ ส.ส.ในสภาก็ได้ทำความดีกันมา อีกทั้งยังได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน เพราะหากไม่ใช่คนดี คงอยู่ไม่ได้”

“ทั้งนี้ หากนายสมคิดคงคิดว่าความดีที่นายสมคิดมีนั้น ไม่เหมาะสมกับทางการเมือง ขอควรไปทำงานด้านอื่น อย่างงานด้านวิชาการจะดีกว่า”

“ขณะที่เรื่องในพรรค พปชร. สมาชิกพรรคต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลัง กก.บห.ลาออก ส่วนนายอุตตมและนายสนธิรัตน์ต้องลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีหรือไม่นั้น อยู่ที่เจ้าตัวจะคิดเอง บอกได้เพียงแค่ว่า วันนี้ในพรรคส่งสัญญาณว่าอยากให้มีการเปลี่ยนแปลง เป็นหน้าที่ของเจ้าตัวจะตัดสินใจว่า เมื่อพรรคส่งสัญญาณเช่นนี้ จะตัดสินใจอย่างไร”

“ส่วนคุณสมบัติของหัวหน้าพรรคคนใหม่ มองว่าอันดับแรกต้องเป็นคนดี เป็นที่ยอมรับของสมาชิกพรรคและ ส.ส. ที่สำคัญต้องเป็นผู้มีประสบการณ์ มีบารมี ที่สามารถทำให้คนในพรรคร่วมแรงร่วมใจสร้างพรรคให้เข้มแข็ง ทำงานเพื่อประชาชนได้อย่างมั่นคงต่อไป”

“ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ มีความเหมาะสมกับตำแหน่งหัวหน้าพรรค พปชร.เพราะมีคุณสมบัติครบ”

 

จะเห็นว่ามีการตามหักล้างกันทุกประเด็น

ซึ่งก็ต้องดูว่า ระหว่างธง #SAVE คนดี

กับการชู พล.อ.ประวิตรเป็นผู้นำ และปรับแถว ครม.ใหม่

       ฝ่ายไหนจะเหนือกว่ากัน


พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่