อนุสรณ์ ติปยานนท์ : น้ำตาจากทะเล

ปากะศิลป์ฉบับอ่านใหม่ (33)
เรื่องเล่าจากเหมืองเกลือบทที่สิบเอ็ด

เขาตื่นขึ้นกลางดึก วนเวียนอยู่กับความฝัน เขาฝันถึงฉากละคร ลึกซึ้ง คมชัด ดื่มด่ำ เขาแลเห็นตัวละครสนทนา แลเห็นราวกับนั่งอยู่ติดขอบเวที มีแสงไฟไล่ตามตัวละครเหล่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะฝันถึงบทสนทนาเหล่านั้น บทสนทนาที่เขาไม่เคยล่วงรู้มาก่อน

อาจเป็นนิมิต เป็นความคาดเดา เป็นบางสิ่งที่อยู่พ้นการคาดคำนวณถึง หรืออาจเป็นเพราะเขาตกอยู่ในความคิดคำนึงถึงมันมากเกินไป ชายผู้กลับมาพร้อมของที่ระลึกจากแดนไกล ชายผู้กลับมาพร้อมกับข่าวสารของพ่อผู้หายสาบสูญไป เรื่องราวเหล่านี้เองที่เขาปะติดปะต่อมันในความฝัน เรื่องราวเหล่านี้เองที่เขาหวังว่าตนเองจะรับรู้เพื่อแก้ไขปริศนาทั้งปวง

ปริศนาที่ว่านั้นท่วมทับเขามากขึ้นทุกขณะ จากเหมืองเกลือดึกดำบรรพ์สู่กลิ่นของท้องทะเลบนเรือนกาย จากการเดินทางที่ดูไม่จบสิ้นสู่ดินแดนที่ไม่รู้จัก

เขาไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องมายังเมืองท่าแห่งนี้ เมืองท่าที่ชายหาดเปรอะเปื้อนด้วยคราบน้ำมัน

เมืองท่าที่เต็มไปด้วยเรือขนสินค้าเขรอะสนิม

เมืองท่าที่เขาล้มตัวลงนอนเคียงข้างกับสาวน้อยคนหนึ่ง

 

เขาร่วมรักกับเธอก่อนหน้านั้น แนบแน่นและยาวนาน

แรกเริ่มเขาพยายามสูดดมค้นหากลิ่นของท้องทะเล แต่ไม่ปรากฏสิ่งใด เรือนร่างของเธอให้กลิ่นหอมทั่วไปของสาวแรกรุ่น

เขาจูบและลูบไล้ไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเธอ หายใจเข้าและออกอย่างเป็นจังหวะจะโคน แต่กระนั้นเขาก็หาได้สัมผัสถึงกลิ่นของท้องทะเล

ห้วงคำนึงของเขาพาเขาถอยห่างไปสู่ความคิดที่ว่าเขาอาจวิปลาสไปชั่วขณะในคืนนั้น และหญิงสาวผู้นั้นฉกฉวยโอกาสที่จะผูกเรื่องถึงตำนานอันไม่มีอยู่จริง

หลังจากผ่านกาลเวลาแห่งสัมผัสไปได้ชั่วครู่ยามเขาก็เลิกสนใจมัน แต่แล้วเมื่อครั้นเขาสอดเสียดเข้าไปในร่างกายของเธอ สิ่งที่เขาเฝ้ารอก็ปรากฏขึ้น “กลิ่นของท้องทะเล”

กลิ่นของท้องทะเลนั้นไม่ใช่กลิ่นของเกลือ แน่นอนทะเลนั้นมีค่าเท่ากับเกลือในสำนึกของผู้คนแต่ทะเลนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเกลือและเกลือนั้นเป็นส่วนหนึ่งของท้องทะเล สายน้ำที่ไหลลงสู่ท้องทะเล นำพาเอาแร่ธาตุมารวมถึงเกลือและแร่ธาตุอื่นๆ

แต่ทะเลไม่ได้มีแต่เกลือ ทะเลคือแหล่งของสรรพชีวิต ฝูงปลาจำนวนมาก อีกทั้งยังมีสาหร่าย ปะการัง และแพลงตอน

เขาไม่มีความรู้มากพอที่จะบอกได้ว่าทะเลนั้นคือที่มาหรือกำเนิดของมนุษยชาติหรือไม่ กระนั้น เขาแน่ใจว่าทะเลคือสถานที่กำเนิดของหลายสิ่ง

สิ่งหนึ่งนั้นคือ “น้ำตา”

 

เขาเชื่อว่าน้ำตาคือหลักฐานพยานเดียวที่พอเชื่อได้ว่ามนุษย์นั้นมาจากท้องทะเล

น้ำตานั้นมีรสเค็ม มันมีรสชาติไม่ต่างจากน้ำเกลือ เขาเคยลิ้มรสน้ำตาของคนรักในวัยเยาว์ การต้องจากกันหลังจบการศึกษา หญิงสาวซบหน้าลงกับไหล่ของเขา ร่ำไห้รอบแล้วรอบเล่าจนเสื้อของเขาเปียกโชก

เขากลับถึงบ้าน ชิมคราบเปียกชื้นบนเสื้อ มันมีรสเค็มไม่ต่างจากรสจากน้ำทะเล

ประสบการณ์ครั้งนั้นฝังใจเขา ทุกครั้งที่เลิกรา ทุกครั้งที่ความสัมพันธ์จบลงด้วยความเศร้า เขาจะพยายามไม่ให้เกิดน้ำตา

เขาจะหันหลังทุกครั้งเมื่อใครบางคนร่ำไห้ เขาไม่ได้เกลียดน้ำตา เขาไม่ได้เกลียดท้องทะเล

เขาไม่ได้เกลียดสิ่งเหล่านั้น แต่รสเค็มจากน้ำตาของคนรักเก่าในครั้งนั้นทำให้กลายเป็นบุคคลที่รับรู้รสเค็มได้เพียงรสเดียว

หากหญิงสาวผู้นี้ ผู้ที่นอนอยู่เคียงข้างเขาจะมีมารดาที่ไม่อาจรับรู้รสเค็มได้ เขาก็เป็นส่วนกลับของเธอ หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นแล้ว เขารับรู้รสชาติอื่นๆ ไม่ได้เลย

ทุกครั้งที่กินขนมหวาน ลิ้นของเขาจะพบแต่ความเค็มของกะทิ ไม่มีรสหวานและรสอื่นใด

ทุกครั้งที่กินแกงเผ็ด ลิ้นของเขาจะรับรู้ได้แต่รสเค็มของเกลือและน้ำปลา ไม่มีรสเผ็ดของพริกแห้งหรือพริกไทย ไม่นับรสเผ็ดร้อนของขิงหรือข่า

เขากลายเป็นมนุษย์ที่ประจักษ์ว่ารสของความเค็มเป็นแก่นสารแห่งรสชาติและละทิ้งรสที่เหลือในชีวิตลงอย่างสิ้นเชิง

 

อาจเป็นเหตุนี้เองที่ทำให้การเลิกราระหว่างเขากับภรรยากลายเป็นสิ่งที่เลือนรางราวกับภาพในอดีตเมื่อศตวรรษก่อน

เขาอาจจดจำความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอได้ แต่เขาไม่อาจจำความหวานชื่นที่เขาและเธอมีด้วยกันได้ อารมณ์และความรู้สึกของผู้คนถูกทดแทนด้วยรสชาติต่างๆ ไม่มากก็น้อย ความรักที่สมหวังถูกแทนค่าด้วยรสหวาน ความผิดหวังถูกแทนค่าด้วยรสขม ความรู้สึกตื่นเต้นถูกแทนค่าด้วยรสเผ็ดร้อน และการจากลาถูกแทนที่ด้วยรสเค็มของน้ำตา

และเมื่อเขารับรู้ได้แต่รสเค็ม ความรู้สึกของเขาที่มีต่ออดีตภรรยาจึงมีแต่เรื่องราวของการจากลา

 

หญิงสาวข้างกายเขาบิดกายเล็กน้อย เธอหลับใหลราวกับปะการังที่ไม่เคยถูกรบกวนด้วยคลื่นทะเล เขาทิ้งตัวลงข้างๆ เธอ กอดเธอไว้ในอ้อมแขน ปลอบประโลมเธอ “ชีวิตไม่ใช่ของง่าย” เขาพูดข้างหูเธอเช่นนั้น

แต่คำพูดเหล่านั้นเสมือนมันจะสะท้อนก้องกลับมาหาตัวเขาเอง

อะไรเล่าที่ทำให้เขาฝันถึงชายสองคนที่ผูกพันกับจามอน เขาเพียงแค่รับรู้เรื่องราวของเธอจากคำบอกเล่าและหลังจากนั้น เขาก็ปะติดปะต่อมันขึ้นเองในความฝัน ในความเป็นจริงมันอาจเป็นงานเลี้ยงที่เรียบง่าย ในความเป็นจริงมันอาจเป็นการพบปะที่เรียบง่าย เอนริเก้พบกับพ่อของเธอโดยบังเอิญ อาจเป็นในสวนสาธารณะ ในงานเลี้ยงคาร์นิวัล ไปจนถึงแม้ในรถโดยสารประจำทาง พ่อของเธออาจตัดสินใจทิ้งครอบครัวด้วยความเบื่อหน่าย พวกเขาทักทายกันครั้นแล้วพ่อของเธอก็เอ่ยว่า “คุณยังติดต่อครอบครัวของผมอยู่ไหม? ผมมีบางสิ่งอยากมอบให้ลูกสาวของผมหากคุณจะยอมกระทำ”

ความจริงอาจมีเพียงเท่านี้ นอกเหนือจากนั้นอาจเป็นเพียงการแต่งเติมจากจินตนาการของเขาเอง

จินตนาการที่เกิดจากกลิ่นของทะเล

เขาอยากปลุกเธอให้ตื่นขึ้น อยากให้เธอเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องราวที่แท้จริง เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง แต่หญิงสาวผู้นั้นหลับสนิทราวกับปะการังดึกดำบรรพ์ที่ไม่เคยถูกรบกวน เขาทิ้งตัวหลับลงอีกครั้งและในฝันนั้นบทละครดำเนินต่อไป

 

องก์ที่สาม

แสงไฟส่องกลางเวที เห็นภาพของมานูเอลที่เดินเข้าไปในโรงจามอน ขาหมูจามอนจากหมูไอบีเรียแขวนอยู่สุดลูกหูลูกตา มานูเอลมองหาหมูตัวที่นำทางเขามายังสถานที่แห่งนี้แต่ไม่พบ มันหายไปจากสายตาของเขา มันหายไปจากบริเวณนั้นแล้ว แต่เขาไม่สนใจ เขาตรงไปที่จามอนแต่ละชิ้นที่ถูกแขวนอยู่ สูดดมกลิ่นของมัน สัมผัสมัน เขาใช้เศษของเปลือกไม้ที่ตกหล่นอยู่ในบริเวณนั้น ขูดเนื้อจามอนออกบางส่วนแล้วลิ้มรส มันเป็นจามอนรสเลิศที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ชิมมา

เอนริเก้ (ยืนอยู่ข้างเวที) : นั่นคือเหตุการณ์ในวันนั้นที่เกิดขึ้นหรือ? ท่านกำลังจำลองภาพเหตุการณ์นั้นให้ข้าฯ ชมใช่หรือไม่?

มานูเอล : (ตะโกนตอบ) ใช่แล้ว เอนริเก้ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าฯ ในวันนั้น โรงจามอนที่มีขนาดใหญ่สุดลูกหูลูกตา ข้าดุ่มเดิน ชิมจามอนชิ้นแล้วชิ้นเล่า ราวกับว่านี่คือสถานที่ที่รวบรวมจามอนมาจากทุกแห่งหน

เอนริเก้ : (ตะโกนคุย) ข้าฯ อิจฉาท่านเหลือเกิน

มานูเอล : ในตอนนั้นข้าฯ เองก็อยากให้ท่านอยู่ที่นั่นด้วย แต่ท่านอย่าเสียใจไปเลย ท่านเองก็ได้ชิมรสจามอนจากสถานที่นั้นแล้ว

เอนริเก้ : ท่านหมายความว่าอย่างใด?

มานูเอล : ท่านจำวันแรกที่ข้าฯ เจอท่านที่ชายหาดได้หรือไม่? จามอนที่ข้าฯ ฝากให้ท่านนำไปมอบให้กับครอบครัวของข้าฯ มาจากที่นั่นเอง

เอนริเก้ : ท่านหมายความว่า จามอนที่ข้าฯ รับภาระนำไปให้ลูกสาวของท่านมาจากสถานที่แห่งนั้น มันไม่ใช่จามอนที่ท่านทำเองด้วยมือดอกหรือ?

มานูเอล : หามิได้ นั่นมิใช่จามอนจากฝีมือข้าฯ

เอนริเก้ : แต่ท่านบอกให้ข้าฯ กลับมาเปิดร้านอาหารอีกครั้งหนึ่ง ท่านจะส่งจามอนให้ข้าอย่างไม่ขาดมือ

มานูเอล : ใช่ ข้าฯ กล่าวเช่นนั้น แต่คำกล่าวนั้นหมายความว่าข้าฯ สามารถนำจามอนเหล่านั้นจากโรงจามอนที่ว่ามาให้ท่านได้อย่างไม่หมดสิ้น ท่านจะปรารถนามันมากเพียงใดก็ย่อมได้ มันเป็นโรงจามอนที่แปลกเหลือเกิน เมื่อใดก็ตามที่ข้าฯ ปลดจามอนขาหนึ่งลงจากราว จามอนอีกขาก็จะปรากฏขึ้นแทนที่ จามอนในโรงจามอนแห่งนั้นไม่เคยพร่องไป ไม่เคยลดจำนวนลง ราวกับว่ามีหมูไอบีเรียจำนวนไม่สิ้นสุดที่พร้อมจะกลายเป็นจามอน การประจักษ์ความจริงในข้อนี้ทำให้ข้าฯ กล้าให้คำมั่นกับท่านเช่นนั้น

เอนริเก้ : ข้าฯ อยากไปยังสถานที่นั้นกับท่านเหลือเกิน ข้าฯ อยากเห็นมันด้วยตาตนเอง

มานูเอล : ข้าฯ ยินดีพาท่านไป เพียงแต่ว่ามันยังไม่ถึงเวลา เราทั้งคู่ยังอยู่ในความฝันของใครบางคน และเราจะออกเดินทางได้ต่อเมื่อผู้ฝันตื่นขึ้นจากการหลับใหลนี้

จบองก์ที่สาม

ชายหนุ่มตื่นขึ้นจากการหลับใหล เขาลืมตาขึ้นหลังจากภาพที่เขาเห็นในฉากละครและแลเห็นหญิงสาวแรกรุ่นผู้นั้นกำลังจ้องมองเขาอยู่ด้วยดวงตาที่สุกใสสกาว